เปิด2แนวทางคำตัดสิน ‘แพทองธาร’ จะเกิดอะไรขึ้นหากรอด-ไม่รอด?
สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ โดยมีสายตาจับจ้องไปที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน การพิจารณาคดีได้เข้าสู่ขั้นตอนสำคัญหลังจากการไต่สวนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม และกำหนดนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ผลการตัดสินในคดีนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางอนาคตของการเมืองไทยและเสถียรภาพของรัฐบาล
แนวทางที่ 1 หากนายกรัฐมนตรีไม่รอด (พ้นจากตำแหน่ง)
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่ง เธอจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งจะนำไปสู่สุญญากาศทางอำนาจบริหารและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสถานการณ์หลังจากนั้นสามารถแบ่งย่อยได้เป็นสองกรณีหลัก:
1.1 กรณีมีการยุบสภา
หากมีการยุบสภาหลังการพ้นตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี "ภูมิธรรม เวชยชัย" รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ครม. เข้ามาทำหน้าที่ชั่วคราว มีอำนาจในการยุบสภา ซึ่งหลังจากนั้นจะต้องมีการจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) คนใหม่
1.2 กรณีไม่มีการยุบสภา
หากไม่มีการยุบสภาหลังการพ้นตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น สภาผู้แทนราษฎรจะต้องดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากแคนดิเดตที่มีอยู่ ซึ่งในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยเหลือ "ชัยเกษม นิติสิริ" เป็นตัวเลือกเดียวจากบัญชีเดิม ส่วนแคนดิเดตจากบัญชีรายชื่อพรรคอื่น ยังคงมี "อนุทิน ชาญวีรกูล" จากพรรคภูมิใจไทย, "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" พรรคประชาธิปัตย์
แนวทางที่ 2 หากนายกรัฐมนตรีรอด (พ้นผิด)
ในทางตรงกันข้าม หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นผิด และสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อได้นั้น นายกรัฐมนตรีจะสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่และมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศอีกครั้ง ซึ่งสถานการณ์นี้จะเปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศชาติได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหาปากท้องทางเศรษฐกิจ
แต่ถึงแม้จะรอดจากคดีในศาลรัฐธรรมนูญแล้ว กรณีของ"แพทองธาร ชินวัตร" ยังคงมีคำร้องในคดีส่วนของการพิจารณาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในข้อกล่าวหากรณีโยกงบธนาคารรัฐวงเงิน 35,000 ล้านบาท ไปใส่ไว้ในงบกลาง ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่ อาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 หลัง ป.ป.ช. มีมติ "รับสอบ" ซึ่งผลการตรวจสอบนี้อาจจะปรากฏชัดเจนภายในไม่เกิน 3-6 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอาจยังคงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่นำไปสู่การ ยุบสภาและเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งในปี 2570
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
ไม่ว่าผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคมนี้จะออกมาในทิศทางใด ไม่ว่านายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะ "รอด" หรือ "ร่วง" ??? คำถามสำคัญที่ยังคงค้างคาและต้องการคำตอบคือ หาก "นายกฯ อิ๊งค์" ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างไร กับท่ามกลางภาวะวิกฤติศรัทธาประชาชน ที่ยังคงสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มีต่อตำแหน่งผู้นำประเทศ..