ที่ดินเขากระโดงยืดเยื้อมา 40 ปี ปิดจบได้ในรัฐบาลเพื่อไทย
กรณี “เขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นคดีพิพาทด้านที่ดินที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย โดยเป็นการบุกรุกที่ดินในเขตของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งได้รับการจัดสรรไว้เพื่อใช้ในกิจการของรัฐ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ภายหลังกลับมีผู้นำพื้นที่ไปออกเอกสารสิทธิ์ในลักษณะ “โฉนดที่ดิน” โดยมิชอบ และมีการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ต่อๆ กันหลายครั้ง จนเกิดการใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยอย่างกว้างขวางในพื้นที่กว่า 5 พันไร่
คดีนี้มีการต่อสู้ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี ระหว่าง รฟท.กับผู้บุกรุกพื้นที่แล้วนำไปออกโฉนด โดยสู้กันถึงฎีกาและสุดท้าย ปี 2564 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า การออกโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นที่ดินในเขตของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องสงวนไว้เพื่อใช้ในกิจการของรัฐ
แปลกแต่จริง แม้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รฟท. ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคมและเป็นผู้เสียหายโดยตรงกลับไม่เร่งรีบดำเนินการขอให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดและเอกสารสิทธิ์ทั้งหมดที่ออกโดยมิชอบตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ปล่อยให้การบุกรุกยังคงดำเนินต่อไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นและพื้นที่ก็ยังถูกใช้ในเชิงพาณิชย์มาอย่างต่อเนื่อง
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายหลังจากที่พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เนื่องจากไม่พอใจที่พรรคเพื่อไทยยึดคืนกระทรวงมหาดไทย การทวงคืนที่ดินเขากระโดงจึงเกิดขึ้น โดยภายหลังจากที่ นายภูมิธรรม เวชชยชัย ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่ง เดินหน้าบังคับใช้คำพิพากษาศาลฎีกาอย่างเด็ดขาด โดยมีการดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งหมดในพื้นที่เขากระโดง เพื่อคืนให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
การดำเนินการในครั้งนี้นับเป็น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกในรอบหลายสิบปี และถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการจัดการที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุก
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการดำเนินการตามคำพิพากษาศาล แต่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่อาจมองข้ามได้ เมื่อมีประชาชนกว่า 900 ราย ซึ่งบางรายอาศัยอยู่ในพื้นที่โดยสุจริตและไม่ทราบที่มาของเอกสารสิทธิ์ว่าได้มาโดยไม่ชอบ ซึ่งภาครัฐโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม จะต้องมีมาตรการเยียวยาและจัดหาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยโดยสุจริต ไม่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ เช่น การทำสัญญาเช่าจาก รฟท. แต่สำหรับผู้ที่มีเจตนาบุกรุกและนำไปหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ รฟท.จะต้องมีมาตรการที่เข้มข้นกว่าผู้ที่บุกรุกเพื่อการอยู่อาศัย
ทั้งนี้ตามระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการเพิกถอนโฉนดที่ดิน พ.ศ. 2516 มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเพิกถอนโฉนดที่ดินตามคำพิพากษาของศาล ไว้ดังนี้
1.กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดว่าโฉนดที่ดินออกโดยมิชอบ
- หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า การออกโฉนดที่ดินนั้นผิดกฎหมาย(เช่น ออกโดยทุจริต ปลอมแปลงเอกสาร หรือออกในพื้นที่หวงห้าม) กรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดนั้นได้
- กรมที่ดินต้องดำเนินการเพิกถอนโดยเร็ว และแจ้งให้ผู้ถือโฉนดทราบ
2. กระบวนการเพิกถอน
- กรมที่ดินจะออกคำสั่งเพิกถอนโฉนด โดยอ้างอิงคำพิพากษาของศาล
- ผู้ได้รับผลกระทบ (เจ้าของโฉนด) อาจมีสิทธิ์อุทธรณ์หรือฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ หากเห็นว่าการเพิกถอนไม่เป็นธรรม
3.ผลของการเพิกถอน
- โฉนดที่ถูกเพิกถอนถือเป็น ”โมฆะ“นับแต่วันที่ออกโฉนด
- ที่ดินนั้นจะกลับเข้าสู่สถานะเดิมก่อนการออกโฉนด (เช่น กลับเป็นที่ดินของรัฐ หรือที่สาธารณประโยชน์)
กรณีเขากระโดงศาลมีคำพิพากษาว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ดังนั้นกรมที่ดินสามารถใช้ระเบียบ พ.ศ. 2516 เป็นฐานในการเพิกถอนโฉนดได้ทันที