ผู้ผลิตย้ำอิเล็กฯไทยไร้สินค้าสวมสิทธิ์ รอดภาษี40% แต่ขาด Local Content
ดร. สัมพันธ์ ศิลปนาฏ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ ร่วมเวทีสัมมนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมย้ำชัดว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย “สะอาด” ปราศจากการสวมสิทธิ์นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกสหรัฐฯ จัดเก็บภาษี จึงไม่ต้องรับผลกระทบจากอัตราภาษี 40% ซึ่งเป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุดในรอบนี้
สำหรับประเด็นข้อสงสัยที่ว่าไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพราะถูกใช้เป็นฐานการผลิตจากจีน ดร. สัมพันธ์ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยปัจจุบันไทยนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนประมาณ 30% และส่งกลับไปจีนในสัดส่วนใกล้เคียงกัน อีกทั้งสายการผลิตยังถูกแยกเป็น “สีน้ำเงิน” และ “สีแดง” อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการปะปนของสินค้าระหว่างพันธมิตรแต่ละกลุ่ม
ทั้งนี้ แม้ไทยจะรอดพ้นแรงกดดันจากมาตรการภาษีในระดับหนึ่ง ดร. สัมพันธ์ชี้ว่า ไทยยังต้องเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานานกว่า 30 ปี คือการขาด Local Content หรือการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ผลิตภายในประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งจำเป็นต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง หากต้องการยกระดับศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
สามตัวเลขชี้ชะตา: 0%-19%-40%
บนเวทีสัมมนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ดร. สัมพันธ์ ได้สรุปภาพรวมมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่กำหนดชะตาการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ ในเวลานี้ โดยชี้ว่าผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจและจับตา สามตัวเลขสำคัญ ให้ขึ้นใจ คือ
- 0% - กลุ่มสินค้ายกเว้นภาษี ได้แก่สินค้าที่อยู่ใน Exemption List ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2568 ครอบคลุมสินค้าเมเจอร์เอ็กซ์พอร์ตของไทย เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มนี้ยังคง “เอ็นจอย” กับการส่งออกปลอดภาษี แต่ดร. สัมพันธ์ย้ำว่าไทยไม่ควรพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ต้องเร่งผลักดันสินค้าอื่นเข้าไปในรายชื่อเพิ่มเติม และต้องภาวนาให้ไม่มีการรื้อรายชื่อเดิมออก เพราะแต่ละรายการคือรายได้หลักของประเทศ
- 19% - ภาษีที่บีบกำไรจนแทบไม่เหลือ เป็นอัตราที่กระทบสินค้าบางประเภทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้หลายตัวจะมีสเปกใกล้เคียงกับสินค้ากลุ่ม 0% แต่กลับไม่อยู่ในรายการยกเว้น ซึ่งอาจมาจากเงื่อนไขทางเทคนิคหรือข้อกำหนดเฉพาะ การถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้สร้างแรงกดดันอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีมาร์จิ้นบางเป็นพิเศษ ทำให้ทุกบริษัทต้องรัดเข็มขัดและเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- 40% - ภาษีลงโทษสินค้าสวมสิทธิ์ ใช้กับสินค้าที่เปลี่ยนถิ่นกำเนิดเพื่อหลบเลี่ยงภาษี (transhipment) ซึ่งไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดร. สัมพันธ์ยืนยันหนักแน่นว่า “อิเล็กทรอนิกส์ไทยคลีนมาก” พร้อมเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 6 ปีก่อน ในช่วงข้อพิพาทการค้าระหว่างสองค่ายใหญ่ ที่ไทยต้องปรับโครงสร้างการผลิตครั้งใหญ่ โดยแยกสายการผลิต “สีน้ำเงิน” และ “สีแดง” ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง พร้อมควบคุมซัพพลายเออร์ในทุกขั้นของ Value Chain เพื่อป้องกันการปะปนของสินค้าต้องสงสัย
การลงทุนยังแข็งแกร่ง แต่ Local Content คือจุดอ่อนเรื้อรัง
สำหรับผลกระทบของภาษทรัมป์ต่อการลงทุน ดร. สัมพันธ์ ศิลปนาฏ เปิดเผยถึงคำถามยอดฮิตที่ได้รับจากผู้ประกอบการและนักลงทุนในช่วงนี้ว่า ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ นักลงทุนและบริษัทต่างๆ จะย้ายฐานการผลิตออกจากไทยหรือไม่ เขาตอบอย่างชัดเจนว่า “ไม่น่าจะเกิด” กลับมีโอกาสสูงที่จะเห็นการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ไหลเข้าสู่ไทยมากถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “ตัวเลขมหัศจรรย์” สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมการลงทุนจะสดใส แต่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยยังมี “โจทย์เรื้อรัง” ที่สั่งสมมานานกว่า 30 ปี คือการขาด Local Content หรือการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริง ปัญหานี้ฝังลึกในโครงสร้างของอุตสาหกรรม เนื่องจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (High Precision) และต้องผ่านกระบวนการรับรองจากลูกค้า (Customer Qualify) ที่ใช้เวลายาวนานเป็นปี ส่งผลให้แม้จะเปลี่ยนซัพพลายเออร์สำเร็จและผ่านทุกการทดสอบ ออเดอร์แรกก็มักได้เพียง 5% ของความต้องการทั้งหมด เพราะลูกค้าไม่ต้องการเสี่ยงกับผู้ผลิตรายใหม่
ดร. สัมพันธ์ชี้ว่า ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ความพยายามสร้าง Local Content โดยผู้ผลิตไทย “ไม่สำเร็จ” และผู้ผลิตที่มีสัดส่วน Local Content สูงในปัจจุบันมักเป็นต่างชาติ “ชื่อปีเตอร์ เจมส์ หรือสตีฟ ไม่มีส้มจุกส้มแกละ” สะท้อนข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับ
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ดร. สัมพันธ์ เสนอว่ารัฐบาลควรทำหน้าที่เป็น “แม่ทัพ” เชื่อมโยงทุกกลไก ตั้งแต่นิคมอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย อาชีวศึกษา สภาอุตสาหกรรม หอการค้า ไปจนถึงตลาดหลักทรัพย์ เพื่อดึงผู้ผลิตต่างชาติเหล่านี้เข้ามาจดทะเบียนและลงทุนในตลาดทุนไทย พร้อมเพิ่มสัดส่วนการถือครองโดยคนไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศอย่างแท้จริง
รับมีกระทบแรงงานบ้าง แต่ย้ำอย่าลดค่าแรง
สำหรับผลกระทบต่อการจ้างงาน ดร. สัมพันธ์ ยอมรับว่า ทิศทางการจ้างงานในอนาคตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งความผันผวนทางการเมือง สถานการณ์สงคราม และการเจรจาต่อรองทางการค้าที่ “ไม่มีวันจบ” ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา โดยแนวโน้มการจ้างงานมีโอกาสหดตัวจากสองสาเหตุสำคัญ
ประการแรก ในช่วง 6 เดือนแรกของปี ผู้ผลิตเร่งส่งออกเกินความต้องการจริง เนื่องจากมองว่าระดับราคาขณะนั้นต่ำเป็นพิเศษ จึงมีการกักตุนสินค้าไว้ในคลัง (Inventory) ในปริมาณมาก ผลลัพธ์คือการผลิตในระยะถัดไปจะถูกปรับลดลง และอาจนำไปสู่การพักงานหรือเลิกจ้างพนักงาน
ประการที่สอง การบังคับใช้ภาษี 19% ทำให้ผู้ผลิตต้องเข้มงวดในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จนนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายด้านกำลังคนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
เขาเตือนว่า อัตราภาษี 19% จะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมาเลเซียและเวียดนามมีดัชนีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าไทย เดิมทีธุรกิจอาจมองว่ามีเวลาปรับตัว 3–5 ปี แต่ภายใต้แรงกดดันใหม่นี้ ระยะเวลานั้นอาจหดเหลือเพียง 1–3 เดือน จึงจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์ทันที
อย่างไรก็ดี ดร. สัมพันธ์ ย้ำชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้การปรับลดค่าแรงเป็นเครื่องมือแข่งขันดึงดูดการลงทุน เพราะประเทศที่พัฒนาได้อย่างยั่งยืนล้วนมีโครงสร้างค่าแรงสูง การลดค่าแรงจะทำให้ไทยติดอยู่ในวงจรเดิมที่พึ่งพาแรงงานราคาถูกเป็นจุดขาย ซึ่งไม่สร้างความก้าวหน้าในระยะยาว หากตัดปัจจัยนี้ออกจากสมการ จะเป็นแรงผลักดันให้หันไปมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านทักษะของแรงงานและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงแทน
แนะปรับซัพพลายเชนและเทคโนโลยี จากราคาถูกสู่พันธมิตรที่ไว้ใจได้
สำหรับกลยุทธ์ในการรับมือกับภาษีทรัมป์และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ดร. สัมพันธ์ เน้นว่า ประเด็นเร่งด่วนคือการปรับซัพพลายเชน ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีเครือข่ายซัพพลายเออร์จำนวนมากกระจายอยู่หลายประเทศ การเลือกคู่ค้าเพียงเพราะราคาถูกไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องมองหาพันธมิตรที่ไว้ใจได้และสามารถร่วมมือกันได้ในระยะยาว ปัจจุบันหลายบริษัทในภาคอิเล็กทรอนิกส์นำ AI มาใช้ในกระบวนการจัดการซัพพลายเชน เพื่อวิเคราะห์ว่าควรซื้อจากใคร ซื้อปริมาณเท่าใด ซื้อเมื่อไร และจัดเก็บอย่างไร ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้สูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังช่วยให้รับมือกับความผันผวนของดีมานด์ที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน
ดร. สัมพันธ์ยังเตือนว่าผู้ผลิตที่ยังอยู่ใน Industry 2.0 และพึ่งพาแรงงานเข้มข้น จะหายไปจากตลาดโลกภายใน 5 ปี จึงจำเป็นต้องเร่งทรานส์ฟอร์มสู่ Industry 3.0 และ 4.0 โดยเฉพาะการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยถือว่ามีความก้าวหน้าและควรนำความรู้ไปถ่ายทอดสู่อุตสาหกรรมอื่น
เมื่อถูกถามถึงความสามารถแข่งขันกับเวียดนามและมาเลเซีย เขามองว่าภาษีในภูมิภาคนี้ใกล้เคียงกัน แต่ความแตกต่างอยู่ที่ยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยเน้นย้ำว่า “อย่าแยกกันเดิน” ทุกภาคส่วน ทั้งคน พื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี ต้องเดินไปในทิศทางเดียวกันตามเป้าหมายร่วม หรือ “ดาวเหนือ” ของประเทศ เพราะหากยังแยกกันเดิน ภายใน 3–5 ปี ไทยจะไม่สามารถแข่งขันได้
ท้ายที่สุด ดร. สัมพันธ์ฝากข้อคิดว่า อย่าหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลง ควรมองเป้าหมายระยะยาวของประเทศเป็นหลัก และปรับตัวให้เร็วขึ้น เพราะสิ่งที่เคยคิดว่ามีเวลาอีก 3–5 ปี อาจเหลือเพียงไม่กี่เดือน พร้อมทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “เอ็นจอยกับตัวเลขสิบเก้า” เพื่อรักษากำลังใจ และอย่าให้ความผันผวนของนโยบายการค้ากลบภาพอนาคตของประเทศ