โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เรื่องราวของอดีตทหารเกาหลีเหนือวัย 95 ปี กับคำขอร้องครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลเกาหลีใต้ให้ไม่ได้

The MATTER

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Brief

‘อัน ฮัก-ซอบ’ วัย 95 ปี อดีตทหารในกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ ที่ถูกจองจำในเกาหลีใต้มานานกว่า 4 ทศวรรษ เนื่องจากเขายืนยันว่าจะไม่ละทิ้งความเชื่อทางการเมืองของตัวเอง ซึ่งคำขอครั้งสุดท้ายของเขาคือการกลับไปเสียชีวิตและถูกฝังอยู่เคียงข้างสหายของเขาที่เกาหลีเหนือ ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธคำขอนั้น

CNN รายงานเรื่องราวนี้ โดยเล่าถึงเช้าของวันที่ 20 สิงหาคม กลุ่มนักเคลื่อนไหว และเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายจับจ้องไปที่ อัน ฮัก-ซอบ ที่กำลังเดินเท้าข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของเส้นแบ่งที่แยกระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ด้วยความประสงค์ครั้งสุดท้ายของเขานั่นคือการกลับไปเสียชีวิตและถูกฝังที่เกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธคำขอนี้และบอกว่าไม่มีเวลาเพียงพอที่จะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น

ด้วยภาวะน้ำในปอด เขาจึงไม่สามารถเดินเท้าได้นานเกิน 30 นาที เขาจึงก้าวลงจากรถที่อยู่ห่างสะพานรวมชาตินั้นราว 200 เมตร และเดินเท้าในระยะสั้นๆ แทน โดยระหว่างทางมีผู้ที่สนับสนุนคอยประคองเขาไว้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาถูกปฏิเสธและถูกส่งตัวกลับเกาหลีใต้

เขากลับมาพร้อมกับธงชาติเกาหลีเหนือ และบอกกับสื่อมวลชนว่า “ผมแค่อยากให้ร่างกายของผมได้พักผ่อนในดินแดนที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ดินแดนที่ปราศจากลัทธิจักรวรรดินิยม”

เขาเกิดในปี 1930 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองเกาหลี โดยเขาเป็นน้องคนสุดท้องและมีพี่สาว 2 คน ความรักชาติของเขาถูกปูพื้น และฝังรากลึกมาตั้งแต่ที่เขายังอายุน้อยๆ โดยปู่ของเขาไม่ยอมให้เขาไปโรงเรียนเพราะ “ไม่อยากให้ผมเป็นคนญี่ปุ่น” เขาเล่า นั่นเลยทำให้เขาเริ่มเรียนช้า เนื่องจากได้เริ่มเรียนตอนที่ปู่เขาเสียชีวิตไปแล้ว

อัน ฮัก-ซอบ ในวัย 20 ปี และกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ซึ่งเป็นช่วงที่ คิม อิล-ชุง ผู้นำเกาหลีเหนือในเวลานั้นโจมตีเกาหลีใต้ เนื่องจากต้องการรวม 2 ประเทศเข้าด้วยกัน และได้ปลุกระดมชาวเกาหลีเหนือว่าเกาหลีใต้เป็นผู้ที่เริ่มการโจมตีในปี 1950 ซึ่งเขาคือหนึ่งในคนที่เชื่อเรื่องนี้และเข้าร่วมกองทัพในปี 1952

ต่อมาเขาถูกจับในเดือนเมษายน ปี 1953 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุราวๆ 23 ปี โดยเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อนการสงบศึก และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในปีเดียวกัน หลังจากผ่านไปประมาณ 42 ปี เขาก็ได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากการอภัยโทษในวันประกาศอิสรภาพของเกาหลี เช่นเดียวกับนักโทษชาวเกาหลีเหนือคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นพวก ‘ผมแดง’ ซึ่งหมายถึงคนที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์ และต้องใช้ชีวิตแบบดิ้นรนหางานทำ

เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือมากนัก แม้จะมีเจ้าหน้าที่จะคอยติดตามเขาอยู่หลายปี เขาทั้งแต่งงาน รับอุปการะเด็ก แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้อย่างแท้จริง

เขาตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่กิมโป ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับชายแดนเกาหลีเหนือมากที่สุดเท่าที่พลเรือนเกาหลีใต้จะสามารถอาศัยอยู่ได้ กระทั่งในปี 2000 เขาได้ปฏิเสธโอกาสที่จะถูกส่งตัวกลับเกาหลีเหนือพร้อมกับนักโทษอีกหลายสิบคนที่อยากเดินทางกลับเช่นกัน ด้วยเหตุผลที่เขามองว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอาจดีขึ้น และประชาชนจะสามารถเดินทางไป-มาได้อิสระ

นอกจากนี้ เขายังมองว่าการกลับไปเกาหลีเหนือจะเป็นความพ่ายแพ้ให้กับชาวอเมริกัน เนื่องจากในเวลานั้นเขาอ้างว่าเกาหลีใต้กำลังผลักดันการปกครองแบบทหารของสหรัฐฯ “ถ้าผมกลับไปเกาหลีเหนือ ผมคงรู้สึกเหมือนกำลังยกห้องนอนตัวเองให้ชาวอเมริกัน จิตสำนึกของมนุษย์อย่างผมไม่อาจยอมให้เป็นเช่นนั้นได้”

BBC ระบุว่า แม้ไม่ชัดเจนว่าเขากำลังหมายถึงอะไร แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ แน่นแฟ้นขึ้น ซึ่งรวมถึงทางทหารที่จะช่วยรับประกันได้ว่าจะปกป้องเกาหลีใต้จากการโจมตีของเกาหลีเหนือ ซึ่งสิ่งนี้กวนใจเขาอย่างมาก และเขายังคงเชื่อในอุดมการณ์ของตระกูลคิมอย่างแน่วแน่

และด้วยความเชื่อมั่นอันแน่วแน่นี้ ในช่วงที่เขาถูกจับเขาถูกขอให้ลงนามสละความเป็นเกาหลีเหนือและละทิ้งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ซึ่งเขาปฏิเสธ

“เพราะผมปฏิเสธ ผมจึงต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสู การทรมาน และความรุนแรงอย่างไม่สิ้นสุด หลายวันเต็มไปด้วยความอับอายและความเจ็บปวด ไม่มีทางที่จะอธิบายความทุกข์ทรมานนั้นออกมาเป็นคำพูดได้” เขาพูดกับกลุ่มผู้สนับสนุนที่มารวมตัวกันในวันนั้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่ได้ตอบสนองข้อกล่าวนี้แต่อย่างใด แม้จะมีการยอมรับจากคณะกรรมการพิเศษว่าเคยเกิดความรุนแรงในเรือนจำขึ้นจริงๆ และเป็นที่ยอมรับกันในเกาหลีใต้ว่านักโทษประเภทนี้มักจะเผชิญกับความรุนแรงในคุก

“เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกตัว สิ่งแรกที่ผมตรวจสอบคือมือของผม เพื่อดูว่ามีรอยหมึกสีแดงติดอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มี ผมก็คิดว่าไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรผมก็ชนะ และผมรู้สึกพอใจ” เขาเล่าและอธิบายว่า สีแดงที่ว่าคือสัญญาณว่ามีคนบังคับให้เขาพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนเอกสารเปลี่ยนอุดมการณ์

อ้างอิงจาก

edition.cnn.com

bbc.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The MATTER

งานวิจัยชิ้นใหม่ค้นพบว่า ชาวสหรัฐฯ ‘อ่านหนังสือเพื่อความพึงพอใจ’ ลดลงกว่า 40% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ศาลอาญาพิจารณายกฟ้อง ‘ทักษิณ’ หลังนัดฟังคำพิพากษา ม.112 - พ.ร.บ.คอมฯ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ กลับมาอีกครั้ง! ชม "สัตยาพาลี วานรผู้กล้าหาญ" ณ ศูนย์วัฒนธรรมฯ เปิดจองบัตรแล้ววันนี้! (มีคลิป)

สยามรัฐ

ทบ.อนุมัติติดอาร์มธงชาติไทยบนชุดฝึก-ชุดสนาม

สำนักข่าวไทย Online

กองทัพภาคที่ 2 แจ้ง! ระวังเพจปลอม ลอกเลียนแบบโลโก้

The Bangkok Insight

อันตรายถึงชีวิต! ใช้ "เกราะแผ่นเหล็ก" แทนเกราะป้องกันกระสุน

สยามรัฐ

บุกจับ ปลัดอบจ.มุกดาหาร คาสำนักงาน ปมขู่เรียกเงินผู้รับเหมา

News In Thailand

Thai-Cambodia Border Committee Reaches Agreement on 13 Points

สำนักข่าวไทย Online

เพจ ‘อานนท์ นำภา’ แชร์ความเห็นเทียบ ‘เสก โลโซ’ หวังได้เดินสายอ่านบทกวีนอกคุกบ้างคงจะดีไม่น้อย

THE STATES TIMES

‘โจรใต้’ เหิมเกริมหนัก! บุกเผาเหมืองแร่นราธิวาส ‘ตำรวจ-ทหาร’ เร่งแกะรอยตามไล่ล่า

เดลินิวส์

ข่าวและบทความยอดนิยม

งานวิจัยชิ้นใหม่ค้นพบว่า ชาวสหรัฐฯ ‘อ่านหนังสือเพื่อความพึงพอใจ’ ลดลงกว่า 40% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

The MATTER

ศาลอาญาพิจารณายกฟ้อง ‘ทักษิณ’ หลังนัดฟังคำพิพากษา ม.112 – พ.ร.บ.คอมฯ 

The MATTER

จริงหรือหลอก? เมื่อ ‘ทรัมป์’ อ้างช่วยยุติสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว 7 ครั้ง เพื่อหวังรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

The MATTER
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...