‘พระสายวัดป่า’ ซัดรัฐบาล-ตำรวจคุกคามพระสงฆ์ เหวี่ยงแห ‘กวาดลานวัด’ บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา
9 สิงหาคม 2568 - พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช หรือ พระครูนิรมิตวิทยากร เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน อ. แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นี่! พระสงฆ์กำลังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่า จะเป็นอาชญากรกันทั้งประเทศแล้วหรือ?
จากคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๒๒/๒๕๖๘ ลงนามโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่กำลังสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายระส่ำระสายให้แก่คณะสงฆ์ไทยอย่างรุนแรง
แต่เดิมเราเข้าใจว่า จะมีการตรวจสอบวัดที่ตำรวจมีเบาะแสอยู่ในมือ มีพยานหลักฐานบ่งชี้ชัดว่า มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย มีความเกี่ยวข้องกับการทำทุจริตฟอกเงิน หรือมีพระภิกษุที่เสพเมถุนแล้วไม่ยอมสึก หรือเป็นอาชญากรหลบหนีคดีมาบวช
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สมควรแท้ที่จะต้องถูกตรวจสอบ ถ้ามีพยานหลักฐานชี้ชัดว่า มีการกระทำผิดกฎหมายจริง ก็ให้จับสึกไปดำเนินคดีตามกฎหมายได้เลย อย่างนี้ถือเป็นการช่วยกันกำจัดมารศาสนา ก็ไม่ว่ากัน เราก็เห็นดีด้วยที่ผู้เช่นนั้นสมควรจะต้องถูกตรวจสอบ
แต่มาตอนนี้ การกลับกลายเป็นว่า ตำรวจมีหนังสือขอความร่วมมือไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแต่ละจังหวัด ให้แจ้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ โดยขอความร่วมมือในการตรวจสอบวัดทุกวัดในเขตปกครอง โดยขอข้อมูลของวัด และบุคคลในวัด ทุกวัดทั่วประเทศ ตามแบบฟอร์มในภาพ โดยอ้างว่า เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา
เราก็ไม่เข้าใจว่า การตรวจสอบแบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ โดยไม่เลือกผิดเลือกถูก ไม่เลือกดีเลือกชั่ว นี้ มันจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา หรือว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงในพระพุทธศาสนากันแน่ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
คิดว่า ตำรวจจะเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า ตำรวจทำเกินกว่าเหตุไหม? ขอให้ชาวพุทธที่เป็นนักกฎหมายที่เป็นคนดี ออกมาวินิจฉัยให้ด้วย พระสงฆ์จะปกป้องสิทธิของตนเองได้อย่างไร ข้อมูลส่วนบุคคลตำรวจมาขอได้ด้วยหรือ? ไม่ผิดกฎหมาย PDPA หรอกหรือ?
พระในประเทศไทยมีประมาณ ๓-๔ แสนรูป วัดมีประมาณ ๔๐,๐๐๐ วัด และวัดที่เป็นข่าวถูกดำเนินคดีมีไม่ถึง ๒๐๐ วัด แต่ตำรวจเล่นเหวี่ยงแหตรวจสอบหมดทุกวัดทั่วประเทศ ตำรวจต้องการข้อมูลวัด ข้อมูลบุคคลในวัด ทำราวกับว่า วัดและบุคคลในวัดเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นอาชญากร อันนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไหม ใครเป็นนักกฎหมายช่วยอธิบายให้ฟังที
ข้อมูลพื้นฐานของวัดก็มีส่งรายงานให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแต่ละจังหวัดตามปกติทุกปีอยู่แล้ว ทำไมไม่ไปขอที่นั่น และบางวัดเป็นครูบาอาจารย์ เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือมากมาย ตำรวจจะเข้าไปตรวจสอบวัดท่าน ตำรวจสงสัยว่าท่านเป็นอาชญากรหรือ? ตำรวจมีความเคารพในพระสงฆ์บ้างหรือเปล่า? ทำไมตำรวจจึงทำร้ายจิตใจชาวพุทธที่เขาเคารพครูบาอาจารย์ อย่าทำให้คนไทยต้องเกลียดตำรวจไปมากกว่านี้เลย
ขยะเน่าเหม็นที่ซุกอยู่ในกรมตำรวจ ไม่มีให้เก็บกวาดแล้วหรือ? ก่อนที่จะไปปัดกวาดลานวัดทั่วประเทศ เก็บปัดกวาดขยะภายในบ้านตัวเองให้สะอาดก่อนดีกว่าไหม?
พระท่านมีศีล ๒๒๗ แต่อาจมีบกพร่องบ้างตามวิสัยของปุถุชน พระก็มีดีมีชั่วเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตำรวจก็ยังมีตำรวจดีตำรวจชั่วเช่นกัน แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ ตลอดจนศาสนวัตถุต่าง ๆ ภายในวัด พระท่านก็ไม่ได้ของบจากรัฐบาลมาใช้มาสร้าง ล้วนเกิดจากศรัทธาของชาวพุทธช่วยกันบริจาคถวายด้วยความเคารพเลื่อมใสทั้งนั้น
แต่ตำรวจกินเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชน จะทำอะไรก็ควรนึกถึงจิตใจของประชาชนบ้าง
พระสังฆาธิการทุกรูป ไม่ว่าจะตำแหน่งใดล้วนเสียสละเพื่อสนองงานคณะสงฆ์ ทำงานกันเหนื่อยยากลำบาก เงินสนับสนุนก็มีเพียงนิตยภัต เดือนละ ๒,๐๐๐ บ้าง ๓,๐๐๐ บ้าง ๔,๐๐๐ บ้าง เราเป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นโท มีนิตยภัตเดือนละ ๓,๑๐๐ บาท ไม่พอยาไส้ เพียงค่าน้ำมันรถเดินทางไปปฏิบัติงาน ก็ไม่พอแล้ว ก็ต้องอาศัยเงินส่วนตัวที่ญาติโยมถวายไว้นั่นแหละ จึงช่วยทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
พอมีพระบางรูปเป็นข่าวทำไม่ดีเกิดขึ้น สื่อก็ตีข่าวกันยกใหญ่ จนผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงธรรม ก็ด่าว่าพระ มองเห็นพระกลายเป็นพระไม่ดีไปเสียทั้งหมด เกิดกระแสต่อต้านไม่ศรัทธาพระ ไม่ทำบุญตักบาตร ไม่ถวายปัจจัย ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องของภูมิจิตภูมิธรรมที่อยู่ภายในใจของแต่ละคนมีสูงต่ำไม่เท่ากัน ถ้าใครไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ก็ถือเป็นกรรมของผู้นั้น
ก็ยังมีชาวพุทธอีกเป็นจำนวนมากที่เขาเข้าใจ และรู้จักแยกแยะดีชั่วได้ ยังคงอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย พระพุทธศาสนาจึงยังดำรงคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ถ้ามีแต่คนจำพวกศรัทธาคับแคบ หรือศรัทธาหัวเต่าผลุบ ๆ โผล่ ๆ ศาสนาพุทธคงหายสาบสูญไปนานแล้ว
ศาสนาพุทธจะดำรงคงอยู่ในโลกนี้ไปจนถึง พ.ศ.๕๐๐๐ พระศาสดาตรัสพยากรณ์ไว้แล้ว ไม่มีผิดพลาด ใครที่คิดร้ายทำลายพระพุทธศาสนา ผู้นั้นก็จะถึงความวิบัติฉิบหายไปเอง ชาวพุทธจงวางใจ ขอให้ช่วยกันทำดีในปัจจุบันให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ทำดีอย่างไรได้ก็ทำไป เดี๋ยวผลดีมันเกิดตามมาเอง คนที่ทำชั่วก็จะได้รับผลชั่วเอง ไม่ต้องไปโกรธเขา
ดังนั้น ตำรวจจะทำอะไรกับพระสงฆ์ จงทำด้วยความเคารพยำเกรงในฐานะที่พระสงฆ์เป็นผู้ทรงศีลมากกว่า ถึงใจไม่เคารพก็ไม่เป็นไร แต่การแสดงออกมันต้องมีสัมมาคารวะ อย่าลืมว่า ตำรวจเป็นผู้บำบัดทุข์บำรุงสุขให้กับประชาชน นั่นคือ หน้าที่ของตำรวจ เว้นไว้แต่กับผู้ที่ทำผิดกฎหมาย ตำรวจก็ทำหน้าที่รักษากฎหมายให้ยุติธรรม อย่าทำเกินหน้าที่
ตามคำสั่งสำนักนายรัฐมนตรี ข้อ ๒.๒ ให้คณะกรรมการจัดทำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฏ ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบพระภิกษุสงฆ์ บุคคล นิติบุคคลที่เกี่ยวข้องศาสนสถานทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย
ตำรวจมีดีอะไร จึงจะมาจัดระเบียบพระภิกษุสงฆ์ พระธรรมวินัยสมบูรณ์หมดทุกอย่างแล้ว อีกทั้งยังมีมหาเถรสมาคมคอยปกป้องพระธรรมวินัย ตำรวจสามารถขอความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมได้ อย่าคิดเองเออเองโดยพลการ
ตำรวจควรไปตรวจสอบบัญชีของนิติบุคคลอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจด้วยว่า มีการทำบัญชีเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ รวมทั้งบุคลากรในศาสนาอื่น ๆ ว่า จะมีผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรหลบซ่อนอยู่หรือไม่ เพื่อความปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน อย่าเก่งแต่กระทำกับพระภิกษุที่ไม่มีทางสู้ เพราะพระสงฆ์ท่านมีพระธรรมวินัยเป็นบรรทัดฐาน จึงไม่สามารถโต้ตอบทำร้ายใครได้
นี่ กระมัง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีใครมาทำลายพระพุทธศาสนาได้ นอกจากชาวพุทธทำลายกันเอง จึงขอฝากฝังพระพุทธศาสนาไว้กับชาวพุทธทุกคน อย่าให้บุคคลผู้ไม่หวังดีแอบแฝงเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนาให้อันตรธานไปเสียก่อนเวลาอันควร
คำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานให้เหมาะสม อย่างมีสัมมาคารวะ และถูกกาละเทศะ คุณจะได้เห็นพระสังฆาธิการทยอยลาออกกันค่อนประเทศ แล้วรัฐบาลนี้ กับพวกตำรวจที่คุกคามข่มขู่พระสงฆ์ จะไม่ได้รับความร่วมมือใด ๆ จากพระสงฆ์อีกเลย และจะมีอันเป็นไปตามกรรมที่ทำไม่ดีกับพระสงฆ์
ขอให้พระสงฆ์ทั่วประเทศ จงพร้อมเพรียงกันด้วยสามัคคีธรรม ลุกขึ้นปกป้องพระธรรมวินัย ขอให้พระสัทธรรมจงตั้งอยู่ยั่งยืนนาน