“กิ๊ก มยุริญ” ตอบปมข่าวฉาววงการสงฆ์ ทำคนหมดศรัทธา ไม่กล้ากราบไหว้ ลั่นอยากให้นับถือที่ศาสนา ไม่ใช่ตัวบุคคล
“กิ๊ก มยุริญ” มองดรามาวงการสงฆ์เป็นเรื่องดี ชี้ช่วยเช็กศรัทธา ย้ำพระดีมีเยอะ แนะเลือกทำบุญกับเนื้อนาบุญ ไม่เศร้าพระชั้นผู้ใหญ่ 8 รูปปาราชิก เหตุพัวพัน “สีกากอล์ฟไ เชื่อเป็นไปตามกรรม
พระ เงิน และ ผู้หญิง คือสามสิ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในวงการพุทธศาสนาในไทยอีกครั้ง โดยล่าสุดมีพระชั้นผู้ใหญ่ต้องปาราชิกไปแล้วอย่างน้อย 8 รูป หลังพบว่าพัวพันกับ “สีกากอล์ฟ” วัย 35 ปี โดยมีเงินอย่างน้อย 10 ล้านบาทเข้ามาข้องเกี่ยว จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโซเชียล หลายคนท้อ ไม่อยากเข้าวัดทำบุญไหว้พระกันแล้ว
ล่าสุด “กิ๊ก มยุริญ ผ่องผุดพันธ์” เจ้าของฉายา “แม่ชีประจำวงการ” ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้ละทางโลกออกบวชมาถึง 2 ครั้ง ได้เปิดใจถึงกระแสดรามาเรื่องนี้ ลั่นสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครที่ทำอะไรไว้ก็จะได้รับผลกรรมแบบนั้น
“เราอยากจะฮีลใจพุทธศาสนิกชนทุกๆ ท่านนะคะ เราอยากจะเรียนว่าวิกฤตในครั้งนี้มันดีมากๆ ในดีมีเสียในเสียมีดีเราได้เช็กตัวเองด้วยว่าศรัทธาที่เรามีกับพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาที่อย่างลึกและถูกต้องหรือไม่ ถ้าเราเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฝากพระธรรมและพระวินัยไว้กับตัวบุคคล พระพุทธเจ้าฝากพระธรรมวินัยเอาไว้กับคำสอน พระธรรมและพระวินัยพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่างดีแล้ว แสดงไว้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนอย่างนี้นะคะ บุคคลที่บวชเข้ามาในศาสนาก็ 2 ประเภท ต่อให้เราเปลี่ยนยูนิฟอร์มแล้วต้องยอมรับอย่างน้อยมีทั้งสมมติสงฆ์และอริยสงฆ์ บุคคลที่ทำผิดพลาดในพระพุทธศาสนาแล้วเขาไม่สามารถไปต่อได้แสดงว่าธรรมวินัย 227 ข้อ เขาไม่สามารถรักษาได้ เขาจะถูกพระวินัยคัดกรองออกไปให้ไปเป็นฆราวาส
แต่สำหรับบุคคลที่ต้องการใช้ศีล 227 ในการที่จะประพฤติปฏิบัติ พร้อมกับน้อมนำสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังจนกระทั่งตัดกิเลสได้ อย่างน้อยเป็นพระโสดาบันบุคคลเหล่านี้จะชื่อว่าอริยบุคคล เพราะฉะนั้นเวลาที่เราสวดมนต์ สังฆานุสติเราจะเห็นพระพุทธเจ้าจะชี้รายละเอียดบอกไว้เลยว่า บุคคลใดคือเป็นบุคคลที่เป็นสงฆ์แก่สักการะที่เขานำมาบูชา คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับตัวเรียงบุรุษได้ 8 บุรุษ เราต้องเข้าใจประเด็นก่อนนะ เพราะฉะนั้นในบทสวดมนต์ที่เราทำวัตรเย็นกันทุกวันนี้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญคืออริยสงฆ์ และอริยสงฆ์ใช่หรือไม่คือบุคคลที่ได้สืบต่อพระศาสนามาจนถึงทุกวันนี้
จริงๆ แล้วพระดีในประเทศไทยมีเยอะมาก แต่เราไม่ได้มีพื้นที่สื่อในการที่จะโปรโมตประชาสัมพันธ์ แต่มันเป็นธรรมชาติอย่างที่เราเรียนวารสารมา ธรรมชาติคุณค่าของความเป็นข่าว ข่าวไม่ดีมันจะดังกว่าข่าวดีเราก็อยากจะเรียนอย่างนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นข้อดีมากๆ ที่หนึ่งที่เรารู้สึกว่าบุคคลท่านปาราชิกให้ท่านได้รีบออกไปเถอะ เพราะหากท่านยังอยู่ในพระศาสนา บาปมหาศาล แล้วท่านปกปิดความผิดของท่านไว้โดยที่ท่านไม่ลาสิกขาหมดจากอัตภาพนี้ท่านลงข้างล่างเลยนะ มี ทุคติ วินิบาตนรกเป็นที่หมาย แต่หากโชคดีที่บุญยังมีทำให้ท่านได้ออกไป ท่านก็สามารถไปเป็นฆราวาสประพฤติปฏิบัติธรรมได้เรามองแบบนี้”
ไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์ตอนนี้
“ไม่เศร้าเลยนะเพราะเรารู้สึกว่า เรามีศรัทธาที่หยั่งลึกและตั้งมั่นในพระศาสนา เราเข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เข้าใจแล้วว่าธรรมพระพุทธเจ้าดีจริงยังไงแล้วเราได้ลงมือประพฤติปฏิบัติตาม และเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราจะต้องเคารพบูชาสูงสุดไม่ใช่ตัวบุคคล บุคคลที่เราควรเคารพคืออริยบุคคล คือบุคคลที่เพียรประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างถูกต้องแล้วเห็นผลจากการปฏิบัติ เมื่อเราจะเช็กว่าใครเห็นผลจากการปฏิบัติยังไงเราต้องดูข้อวัดปฏิบัติของท่าน ดูจากคำสอนและการประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล ที่เราไม่เศร้าใจที่เพราะเราเข้าใจ เราอยากฮีลใจต้องขอบคุณพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนที่ให้โอกาสเราได้มาฮีลใจ
ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงคนมองตอนนี้ พระไม่น่ากราบไหว้ ไม่แปลกถ้าเขาจะมองแบบนี้ได้ เพราะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หรือสมัยอื่นก็มีที่พระมีปัญหาก็ต้องถูกคัดแยกออกไป มันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ทำไมเราจึงต้องทำบุญกันพระสงฆ์ พระสงฆ์เราเลือกไม่ได้หรอกว่าท่านจะเป็นสมมติสงฆ์หรืออริยสงฆ์ แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าเราจะเลือกทำบุญกับผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญ และต้องการรักษาสืบต่อพระพุทธศาสนาตรงไหนศรัทธาเราไปทำ ตรงไหนไม่ศรัทธาเราไม่ทำ
เราขอยกตัวอย่างนิดนึงนะ สมมติที่เราทำบุญกับโรงพยาบาล เราชอบทำบุญกับโรงพยาบาลมากเลยแต่วันหนึ่งมีข่าวว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสพเมถุน เราถามว่าเราจะเลิกทำบุญกับโรงพยาบาลไหม ไม่ต่างจากกรณีของพระศาสนาเหมือนกัน บุคคลที่ไปต่อไม่ได้ก็ต้องถูกพระวินัยคัดแยกออกไป ไปเป็นฆราวาสเหมือนเดิม ถ้าท่านออกมาเร็ว ถ้ามีโอกาสบรรลุมรรคผลได้ แต่ถ้าท่านยังคงปกปิดและอยู่ต่อไปอันนี้เป็นบาปกรรมอย่างที่เราเรียนไปก็คือว่า หากยังไม่ใช่สงฆ์แล้ว มีทั้งการหลอกลวงเอาลาภของสงฆ์มาเป็นของตนทั้งที่ตัวเองไม่ได้สงฆ์แล้ว อันนี้น่ากลัวและน่าสงสารมาก
เราศึกษาในเรื่องของผลกรรม คือวันนี้ไม่ว่าสังคมจะพิพากษาลงโทษอย่างไร เราต้องยอมรับก่อนว่าทุกอย่างมันก็ต้องมีหลักฐานข้อมูลก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายเราไม่สามารถพูดได้ว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิดจากแค่ข่าวที่เราเสพ แต่ว่าทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามข้อมูลที่เราได้รับจริงๆ เช่นวันนี้ศาลพิพากษาเขาผิดแล้ว แต่จากข้อมูลวันนี้เราอยากจะบอกสังคมว่า เราฟังไว้เป็นการศึกษา อย่าแค่เสพ เพราะถ้าเสพเราจะใช้อารมณ์ของเราไปตัดสินแล้วคนที่ไม่มีความสุขและบาปที่เกิดขึ้นตัวคือตัวเราเอง จิตเราเป็นอกุศลเราอยากให้คนพุทธน้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ เห็นข่าวแล้วเราใช้ใจตัวเองสิว่าเรามีกิเลสตัวไหนผุดขึ้นมาบ้าง เราสามารถวางอุเบกขาจิตได้ไหม (แสดงว่าถ้ามีอารมณ์ร่วมก็คือมีกิเลส?) ถ้าเรามีอารมณ์ร่วมแล้วไปด่าทอเราบาปด้วยนะ”
ไม่ต้องรอตายแล้วไปไหน เอาแค่ว่า ณ วันนี้มีความสุข-มีที่ยืนในสังคมไหม
“เราจะบอกเลยว่ามันน่ากลัวมาก คือสีกาที่ไปล่วงละเมิดบุคคลนั้นมีคุณ มีคุณถ้าเขามีศีล 227 และเจตนาความแรงกล้าในการที่มีกิเลสในการที่จะไปฉกฉวยเขามาเป็นของตนหรือมีความตั้งใจกันผิด อันนี้เราคิดดูว่าเขามีความจงใจตั้งใจมากี่ปี ทุกขณะจิตที่เกิดดับเกิดกับมีแต่อกุศลเกิด เราคิดว่าถ้าเขายังระลึกไม่ได้ยังคิดไม่ได้ถ้าเขาทำผิดจริงเขาจะมีความสุขได้อย่างไร
ไม่ต้องรอที่ตายไปแล้วไปไหน เอาแค่ว่า ณ วันนี้มีความสุขไหม ณ วันนี้ที่ยืนในสังคมเป็นอย่างไร อยากจะเรียนอย่างนี้ว่าเราไม่อยากให้ทุกคนไปสร้างอกุศลกรรม เพราะสัตว์โลกมีการเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นผู้ติดตาม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำอะไรไว้เขาต้องได้รับผลนั้นอย่างแน่นอน ต่อให้เราไม่ต้องไปทำอะไรเพียงแต่มันใช้เวลา แต่วันนี้เราอยากจะเรียนว่า ทุกอย่างคือข้อฝึกเราอยากให้คนพุทธเช็กตัวเองว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็งแล้วก็เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมากน้อยเพียงใด แล้วก็นำวิกฤตตรงนี้มาสร้างโอกาสในการเจริญศีลสมาธิปัญญาของเรา อย่าเอาบาปกรรมของคนอื่น มาตัดบารมีหรือการสร้างความดีหรือการทำความดีของเราเองไม่ควร
ถ้าพระเสพเมถุนแล้ว ปาราชิกแล้วขโมยลาภสงฆ์ไม่ยอมลาสิกขา แล้วหลอกลวงบุคคลอื่นว่าฉันยังเป็นสงฆ์อยู่ ตายไปท่านจะลงไปข้างล่าง แต่ถ้าท่านรู้ตัวเองแล้วว่าผิดแล้วท่านลาสิกขาออกมา เป็นฆราวาสที่มีศีล 5 ศีล 8 ท่านยังสามารถประพฤติปฏิบัติและสามารถมีดวงตาแห่งธรรมบรรลุธรรมขั้นต่ำเป็นโสดาบันได้”
ลั่นหากบัญญัติกฎหมายขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้สงฆ์มีการเจริญในพระธรรมพระวินัยมากขึ้น ป้องปรามให้ฆราวาสมาหาผลประโยชน์ถือเป็นสิ่งที่ดี
“หากกฎหมายนั้นสนับสนุนที่ไม่มีการแทรกแซงพระธรรมพระวินัยโอเค เพระสงฆ์อยู่ในพระธรรมพระวินัย 227 เพราะฉะนั้นพระวินัยของพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นข้อฝึกในการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นมันจะแตกต่างจากเรื่องทางโลก ทางโลกเรามีกฎหมายเพื่อที่จะทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันบาลานซ์ มันไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกันมันมองคนละมุม เราเลยอยากจะเรียนอย่างนี้ว่า อันนี้เป็นมิติหรือเป็นความเห็นของเราคนเดียวนะว่า ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้สงฆ์มีการเจริญในพระธรรมพระวินัยมากยิ่งขึ้นและเป็นการป้องปรามให้ฆราวาสมาหาผลประโยชน์จากสงฆ์ผู้ที่มีศีล 227 คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี”
ยังสนิทใจในการกราบพระดีอยู่
“เรากราบสนิทใจมาก เราบอกเลยนะหน้าที่ในการทำบุญทำทานทำความดีเป็นหน้าที่ของเรา ส่วนเราทำแล้วสงฆ์จะเอาสิ่งที่เรามอบให้ถวายให้ความรักความศรัทธาความเลื่อมใสหรือทานนั้นไปทำอะไรเป็นเรื่องของท่านไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว เพราะฉะนั้นเราทำบุญด้วยเรามีศรัทธา เราเชื่อเรื่องผลของกรรม เราทำแล้วเราสละขาด เราทำแล้วถูกกาลทุกเวลา เราทำแล้วไม่ได้ยกตนชูตนเปรียบเทียบตน เราถือว่าอันนี้เป็นการทำทานที่สมบูรณ์ในฐานะฆราวาสหรืออุบาสิกาคนนึงจะทำได้ แต่เมื่อเราทำแล้วทานที่เราทำมาอย่างปราณีต บุคคลที่รับไปเขาจะไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของท่าน
ยกตัวอย่างเหมือนเราถวายสังฆทานให้พระ ถวายเสร็จสังฆทานนั้นเป็นของใคร ของพระถูกไหมแต่พระเอาไปโยนทิ้งหน้ากองไฟเดี๋ยวนั้นเลย เราโกรธท่านได้ไหม ไม่ได้เพราะให้เขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าถามเราวันนี้เราทำบุญแบบนั้นค่ะ เราบอกเลยว่าการที่เราจะไปรู้จะไปสอดส่องพระองค์ไหนจะศีล 227 ครบ มันเป็นสิ่งที่เกินศักยภาพของเรา แต่เวลาเราทำเราจะบอกว่าสงฆ์เหล่านั้นท่านเป็นตัวแทนของพระศาสนาที่ทำถวายทานนี้หรือศรัทธาที่เราถวายแด่สงฆ์สังฆมณฑลในจักรวาลนี้
เราน่าจะเคยเจอบ้าง เราจะบอกว่าสิ่งใดที่ใครทำไว้ ถ้าเกิดท่านทำถึงขั้นปาราชิกได้นั่นแสดงว่าท่านยังคงเป็นสมมติที่ส่งอยู่หรือเปล่า ด้วยเราเองเราจะไม่ปรามาสใคร วันนี้เราไม่สามารถบอกได้ว่าข้อมูลหลักฐานที่จากในข่าวมันเท็จจริงอย่างไร เรารู้สึกว่าถ้าหากท่านทำผิดปาราชิกจริง แล้วท่านออกมาดีแล้วเป็นบุญกุศลของท่าน เพราะว่าคนที่ปาราชิกประเด็นสำคัญคือทำไมถึงเป็นโทษหนักที่สุดเพราะเขาเปรียบเหมือนตาลยอดด้วน ก็คือว่าในอัตภาพนี้ไม่สามารถบวชเป็นพระสงฆ์ได้อีกแล้ว
คำว่าปาราชิกมี 4 ข้อ 1 คือเสพเมถุน 2 เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน แล้วอย่างนี้ในกรณีนี้เกิดว่าถ้ามีเรื่องของการเอาเงินวัดไปใช้ส่วนตัว ปาราชิกไหมข้อนี้อันนี้คิดกันเอง ข้อต่อไปก็คือการที่เราฆ่าคน ถ้าฆ่าคนก็คือปาราชิกเลย และข้อสุดท้ายคืออวดอุตริมนุสธรรม อวดธรรมที่ไม่มีในตน นี่คือปาราชิก 4 ที่เป็นตาลยอดด้วน เกิดว่าผู้เป็นสงฆ์ทำผิด 4 ข้อนี้แล้ว ชีวิตนี้ในอัตภาพนี้ไม่สามารถบวชได้อีกแล้ว นี่ก็เป็นอกุศลที่ท่านต้องรับอยู่แล้ว”
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO