“วิโรจน์” เชื่อ “ฮุนเซน” ปั่นนำไปสู่การปฏิวัติ มอง รมว.กต.ไม่เก่ง
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 27 มิถุนายน 2568 เวลา 18.30 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทรัฐสภา 27 มิ.ย.-“วิโรจน์” แนะ นายกฯ อย่าสนใจ “ฮุนเซน” แฉ “ทักษิณ” เชื่อปั่นให้แตกแยกในชาตินำไปสู่การปฏิวัติ สงสัยคนใกล้ตัวมีเอี่ยวฟอกเงินหรือไม่ จึงไม่จัดการแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติจากเขมร มอง รมว.กต.ไม่เก่ง ควรเปลี่ยนและเร่งหาโฆษกส่วนตัวแจงสถานการณ์
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปล่อยคลิปแผนเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีโยงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดานายกรัฐมนตรี ว่า ปกติแล้วความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราก็กังวลจะมีการปล่อยอาวุธ หรือปล่อยโดรนสังหาร แต่กัมพูชากลับปล่อยคลิป ปั่นกระแสทุกวัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ และเป็นที่สังเกตว่ามีความพยายามจะเชียร์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรหวั่นไหว หรือตื่นเต้น หรือหลงเป็นเหยื่อสมเด็จฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้นำสายคอนเทนต์ และบิดาแห่งสแกมเมอร์แห่งภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น ต่อให้มีคลิปเสียงก็จะต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งการที่สมเด็จฮุนเซนทำทีเป็นสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ ก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนจริง แต่เป็นการยุแยง เพื่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และเป็นการสนับสนุนการทำรัฐประหารกลายๆ ซึ่งจะนำไทยไปสู่ความไม่ชอบธรรมในเวทีโลก เกิดความสูญเสียความชอบธรรม ในข้อพิพาทระหว่างกัมพูชากับไทย และจะโยงถึงการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ จะทำให้เกิดความหายนะทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นทันที
“ถ้าเราถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผล ผมว่ามีสิทธิ์แต่ถ้าเราต้องมานั่ง ทะเลาะกันเพราะการปั่นของฮุนเซน ผมคิดว่าไม่ใช่” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ เสนอว่า นายกรัฐมนตรี ควรรับมือด้วยการมีโฆษกประจำตัว หรือคณะทำงานของกระทรวงการต่างประเทศออกมาชี้แจงกับทูตานุทูตต่างๆ ให้ทันท่วงที โดยควรต้องวางตัวให้ชัดเจน เพราะต้องต่อสู้กับบิดาแห่งสแกรมเมอร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรต้องประท้วง องค์การสหประชาชาติ ก็มีอยู่ในประเทศไทย รวมถึงสถานทูตต่างๆ แต่ก็เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงไปแล้ว แต่ควรต้องต่อเนื่อง
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อกังขาถึงบทบาทของนายมาริษ เสงียมพงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอ าจเงียบเกินไปนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่าเราควรมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เก่งกว่านี้ โดยต้องหาคนที่ไวต่อสถานการณ์กว่านี้ และกล้าตัดสินใจกว่านี้ เพราะ ณ วันนี้ต้องรับมือกับคนที่วางแผนและไตร่ตรองล่วงหน้า เขียนบทมาโดยตลอด
นายวิโรจน์ ตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งของ ผู้นำกัมพูชากับนายทักษิณ น่าจะมีการตกลงกันไม่ได้ และอาจจะมีความกังวลในเรื่องของการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งฐานใหญ่สุดอาจจะไม่ได้อยู่ใน ชเวโกะโก แต่อาจจะอยู่ในกัมพูชา ดังนั้นนายกรัฐมนตรี ควรให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ทำงาน ร่วมกับข้อมูลของต่างประเทศ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และเมื่อถึงเวลาข้อมูลตกผลึกแล้วควรยึดเงิน และให้ขึ้นแบล็กลิสต์กัมพูชา โดยวางคณะทำงานที่ชัดเจนเพื่อปักหมุดหมายที่จะลงนามสัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเราสามารถขอให้ต่างประเทศที่เป็นภาคีสมาชิก ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนประสานงานกับต่างประเทศในการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ สมเด็จฮุนเซน กลัวที่สุด อย่างไรก็ตาม ก็ต้องตั้งคำถามว่าเหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงไม่ดำเนินการ สมเด็จฮุนเซนเปิดเผยว่ามีนักการเมือง 7คน ไปฟอกเงินที่กัมพูชา หรือไม่
เมื่อถามว่า มีการเปิดเผยรายชื่อนักการเมือง 7 คน ดังกล่าวหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ไม่มีการเปิดเผย มีแต่การตั้งข้อสังเกต แต่ตนเชื่อว่า ป.ป.ง.ทราบ ว่าเป็นใครบ้าง เพราะการทำธุรกรรมตั้งแต่ 7 แสนบาท ขึ้นไป ป.ป.ง. ต้องทราบ และเชื่อว่าน่าจะคะเนได้ว่าเป็นใคร และขอตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นบุคคลใกล้ชิด นายกรัฐมนตรี หรืออยู่ในเครือข่ายที่นายกรัฐมนตรีรู้จักหรือไม่ หรืออาจจะเป็นอดีตรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งหากเป็นรัฐมนตรีก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะมีข้อหาปกปิดบัญชีทรัพย์สิน จาก ป.ป.ช.
และถ้าเงินนั้นมาจากการทุจริตอีก ก็จะเข้าความผิดมูลฐาน ถูกยึดอายัดทรัพย์ได้อีก แล้วถ้านายกรัฐมนตรีไปแต่งตั้งคนเหล่านี้ ก็อาจจะมีความผิดทางจริยธรรม และมีจุดจบเหมือนนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จึงมีการตั้งข้อสังเกตในที่ประชุมกรรมาธิการการทหารว่าด้วยประเด็นเหล่านี้หรือไม่ ที่ทำให้นายกรัฐมนตรี ไม่จริงจังในการจัดการทั้งที่เส้นทางการเงินพุ่งเป้าไปที่กระเป๋าของสมเด็จฮุนเซน และนายฮุนมาเน็ต ซึ่งแม่นยำและได้ผล
ส่วนฝ่ายค้านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่าตนได้ทำหนังสือข้อสังเกตข้อมูลทั้งหมดถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้นนายกรัฐมนตรี จะบอกว่าไม่ทราบ ไม่ได้ และตนคิดว่าตนอาจจะเอาเรื่องที่นายกรัฐมนตรีรู้อยู่แล้วไปบอก อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดเรื่องการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ ต้องรอดูความเหมาะสมก่อน.-312.-สำนักข่าวไทย