แค่ 7 วันขยี้จบ!! ทัพไทยพร้อมดับซ่ากัมพูชา
กลางเดือนกรกฎาคม 2568 เหตุการณ์ทหารไทย 3 นายเหยียบกับระเบิด บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี กลายเป็นชนวนร้อนที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเข้าสู่โหมดตึงเครียดสูงสุด เมื่อผลการตรวจสอบจากฝ่ายไทยยืนยันว่า ระเบิด PMN-2 ไม่ใช่ระเบิดเก่าที่ตกค้างจากการสู้รบในอดีต และมีหลักฐานชัดว่าเป็นกับระเบิดที่เพิ่งถูกวางใหม่
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย แต่ยังขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ที่ห้ามการใช้และสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวของกัมพูชาและการขัดขวางทีมเก็บกู้ทุ่นระเบิดไทย ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่คือการยั่วยุโดยตรง
คำถามคือ… ถ้าสถานการณ์บานปลายจนเกิดการปะทะ หรือสงครามเต็มรูปแบบ ไทยกับกัมพูชา ใครเหนือกว่า? และ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
เจตนาชัด “ลากไทยสู่การปะทะ”
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อน เกมการเมืองและยุทธวิธีจิตวิทยาของกัมพูชา เห็นได้จาก
-หลักฐานทางเทคนิค ระเบิด PMN-2 เป็นชนิดที่กองทัพกัมพูชาใช้ และไม่ใช่มาตรฐานของไทยที่ย้ำชัดว่าทำตามพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวา
-ขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เมื่อทีมเก็บกู้เข้าปฏิบัติงานใกล้เส้นชายแดน กลับถูกกัมพูชากดดันและขัดขวาง ทั้งที่เป็นพื้นที่ของไทย
-ข้อกล่าวหาเบี่ยงเบน กัมพูชาออกมาอ้างว่า “ทหารไทยเดินนอกเส้นทาง และอาจเป็นระเบิดที่ไทยวางเอง” ข้อกล่าวหานี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามปั่นกระแสให้ไทยตกเป็นผู้ร้ายในสายตาประชาคมโลก
ทั้งหมดนี้คือสัญญาณชัดว่า กัมพูชาต้องการสร้างความตึงเครียด และผลักไทยให้ตอบโต้ก่อน
ศักยภาพกองทัพไทยเหนือกัมพูชาหลายขุม
การเปรียบเทียบศักยภาพทางทหารอย่างตรงไปตรงมาชี้ให้เห็นว่า ไทยเหนือกว่าชัดเจนทั้งทางบกและทางอากาศ
สรุปสั้นๆ: ไทยเหนือกว่าแทบทุกมิติ โดยเฉพาะ อำนาจการคุมฟ้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญหากสงครามปะทุ
ถ้าสงครามปะทุ – 2 ฉากจบที่เป็นไปได้
ฉากที่ 1: สงครามชายแดนจำกัดพื้นที่ (Limited Border Conflict) กัมพูชาเปิดฉากยั่วยุ ปะทะเฉพาะจุด เช่น บริเวณช่องบกหรือปราสาทพระวิหาร ไทยใช้ยุทธวิธีป้องกัน-ผลักดัน ใช้กำลังเฉพาะพื้นที่ ไม่ขยายวง
ผลลัพธ์: ไทยควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 3-7 วัน กัมพูชาถูกผลักกลับไปยังเขตแดน
ฉากที่ 2: สงครามเต็มรูปแบบ (Full-Scale War) หากกัมพูชาลากยาว หรือขยายวงปะทะทั่วแนวชายแดน
48 ชั่วโมงแรก: ไทยคุมฟ้าทั้งหมด ใช้ Gripen และ F-16 ทำลายฐานสนับสนุนชายแดน
7-14 วันต่อมา: ไทยมีศักยภาพบุกลึกเข้ากัมพูชาได้ แต่ไทยอาจเลือกหยุดที่การผลักดันเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันนานาชาติ
สรุปคือหากเกิดการรบขึ้นเมื่อไหร่ ไทยชนะเด็ดขาดทางทหาร แต่ต้องระวังผลกระทบทางการทูตและเศรษฐกิจ หากใช้กำลังรุนแรงเกินจำเป็น
ใครได้ประโยชน์จากความตึงเครียด?
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่า กัมพูชาอาจมีวาระซ่อนเร้น เช่น เบี่ยงเบนความสนใจภายในประเทศ หากมีปัญหาการเมืองหรือเศรษฐกิจ
กดดันไทยบนโต๊ะเจรจา ทั้งด้านเขตแดน เศรษฐกิจ และผลประโยชน์พลังงาน
สร้างภาพว่าไทยรุกราน หากไทยตอบโต้ก่อน จะทำให้กัมพูชาสร้างความชอบธรรมต่อประชาคมโลก
ฉะนั้น แม้จะเหนือกว่าทางทหาร แต่ไทยควรเดินเกมอย่างระมัดระวัง โดยการ
-รวบรวมหลักฐานทางเทคนิค ยื่นต่อเวทีนานาชาติ เช่น สหประชาชาติ เพื่อสร้างความชอบธรรม
-ยกระดับมาตรการทางการทูต หากจำเป็นอาจเรียกทูตกลับประเทศ
-เพิ่มกำลังชายแดน แต่หลีกเลี่ยงการตอบโต้ก่อน เพื่อไม่ให้ตกเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาประชาคมโลก
- เตรียมพร้อมเต็มที่ หากสถานการณ์ลุกลาม แแต่ต้องเน้นยุทธวิธีป้องกันก่อนเสมอ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียง “ทหารเหยียบกับระเบิด” แต่เป็นเกมยั่วยุที่อันตราย หากไทยตอบโต้เกินขอบเขตอาจลากเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ
แม้ไทยจะเหนือกว่าทางทหารอย่างชัดเจน แต่การชนะสงครามไม่สำคัญเท่ากับการรักษาความชอบธรรมในสายตานานาชาติ เพราะสงครามที่ชนะในสนามรบ แต่แพ้บนโต๊ะการเมือง อาจทำให้ไทยเสียหายมากกว่าที่คิด
#ไทยกัมพูชาตึงเครียด #ทหารไทยเหยียบระเบิด #สงครามชายแดน #ศักยภาพกองทัพไทย #วิเคราะห์การเมือง #PMN2 #OttawaTreaty