แซม อัลต์แมน เตือนภัย! โลกจ่อเผชิญ ‘วิกฤตฉ้อโกง’ ครั้งใหญ่ หลัง AI เอาชนะระบบพิสูจน์ตัวตนส่วนใหญ่ได้แล้ว ทั้งปลอมเสียง-วิดีโอจนแยกไม่ออก
แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ได้ออกมาเตือนว่าโลกอาจกำลังจะเจอ ‘วิกฤตการฉ้อโกง’ (fraud crisis) อันเนื่องมาจากความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะช่วยให้ผู้ไม่หวังดีสามารถปลอมแปลงตัวตนของผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน เพื่อสร้างความเสียหายทางการเงินและสังคม
“สิ่งที่ทำให้ผมหวาดกลัวคือ ยังมีสถาบันการเงินบางแห่งที่ยอมรับการพิสูจน์ตัวตนด้วยเสียงเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินจำนวนมาก นั่นเป็นเรื่องที่บ้ามากที่ยังทำกันอยู่ เพราะ AI ได้เอาชนะวิธีการพิสูจน์ตัวตนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไปหมดแล้ว ยกเว้นรหัสผ่าน” อัลต์แมนกล่าว
คำเตือนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวเตรียมจะเปิดตัวแผนปฏิบัติการ AI (AI Action Plan) ในเร็วๆ นี้ โดย OpenAI ก็ได้ให้คำแนะนำสำหรับแผนดังกล่าวและกำลังขยายทีมงานในวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อัลต์แมนฟาด Meta หลังซักเคอร์เบิร์กทุ่มเงินรวม 3.2 พันล้านบาท ต่อสายตรงดูดนักพัฒนา AI จาก OpenAI แก้เกมถูกมองตามหลังคู่แข่ง
- จาก AI สู่ Social! OpenAI ซุ่มพัฒนาแพลตฟอร์มคล้าย X หวังดึงผู้ใช้ด้วยภาพ AI สุดฮิต จับตาศึก Sam Altman vs. Elon Musk รอบใหม่
- ไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต เทียบไม่ได้ ‘แซม อัลต์แมน’ ซีอีโอ OpenAI ฟันธง AGI ขุมพลังใหม่ แต่ต้องคุมให้อยู่!
OpenAI ยังได้ยืนยันว่า จะเปิดสำนักงานแห่งแรกในวอชิงตัน ดี.ซี. ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบาย จัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ และจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับ AI ให้กับบุคลากรภาครัฐและภาคการศึกษา
แม้จะออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของเทคโนโลยี แต่ OpenAI ก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์หลีกเลี่ยงการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันกับนวัตกรรม AI จากต่างประเทศ โดยอัลต์แมนไม่ได้อยู่เพียงลำพังที่กังวลว่า AI จะทำให้การฉ้อโกงรุนแรงขึ้น
FBI เคยออกมาเตือนเรื่องการหลอกลวงด้วยการ ‘โคลนนิ่ง’ เสียงและวิดีโอด้วย AI มาแล้ว และมีรายงานว่ามีผู้ปกครองหลายรายเกือบตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีนี้ปลอมเสียงเป็นลูกๆ เพื่อหลอกเอาเงิน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังเคยเตือนถึงกรณีที่มีผู้ใช้ AI ปลอมเสียง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วย
“ผมกังวลมากว่าเรากำลังจะเผชิญกับวิกฤตการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา” อัลต์แมนกล่าว “ตอนนี้มันคือการโทรด้วยเสียง อีกไม่นานมันจะเป็นวิดีโอหรือ FaceTime ที่แยกไม่ออกจากของจริง” เขายังได้สนับสนุนเครื่องมือที่ชื่อว่า The Orb ซึ่งจะช่วย ‘พิสูจน์ความเป็นมนุษย์’ ในโลกออนไลน์
อัลต์แมนยังเผยถึง ‘สิ่งที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ’ นั่นคือแนวคิดที่ว่าผู้ไม่หวังดีอาจสร้างและใช้ Superintelligence ในทางที่ผิดได้สำเร็จ ก่อนที่ทั่วโลกจะก้าวหน้าพอที่จะป้องกันการโจมตีนั้นได้ เช่น การใช้ AI โจมตีโครงข่ายไฟฟ้าหรือสร้างอาวุธชีวภาพ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงาน อัลต์แมนกลับมีท่าทีที่กังวลน้อยกว่าผู้นำเทคโนโลยีคนอื่นๆ ‘ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น’ เขากล่าว “นี่เป็นระบบที่ซับซ้อนเกินไป และเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่และส่งผลกระทบสูงมาก มันยากที่จะคาดเดา”
เขากล่าวว่าแม้งานบางประเภทจะหายไปทั้งหมดแต่งานรูปแบบใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาแทนที่ และได้ย้ำถึงวิสัยทัศน์ในอีก 100 ปีข้างหน้าว่า คนทำงานในอนาคตอาจจะไม่มีสิ่งที่คนยุคเราเรียกว่า งานจริงๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างงานขึ้นมาเพื่อเติมเต็มเวลาและรู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์ต่อผู้อื่น
พร้อมกันนี้ OpenAI ยังได้เผยแพร่รายงานโดย รอนนี แชตเตอร์จี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์คนแรกของบริษัท ซึ่งเปรียบเทียบ AI กับเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลกอย่างไฟฟ้าและทรานซิสเตอร์ โดยระบุว่าปัจจุบัน ChatGPT มีผู้ใช้ทั่วโลกถึง 500 ล้านคน และ 20% ของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ใช้เพื่อการเรียนรู้และเพิ่มทักษะ
ภาพ: Andrew Harnik/Getty Images
อ้างอิง: