ผบ.ตร. เซ็นสั่งด่วน แนวทางปรับเกลี่ยตร.ไปช่วย 'พนง.สอบสวน' ประจำโรงพัก แก้งานล้น

ผบ.ตร. เซ็นสั่งด่วน แนวทางปรับเกลี่ยตร.ไปช่วย ‘พนง.สอบสวน’ ประจำโรงพัก แก้งานล้น

จากกรณี สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ประสบปัญหาในการทำงานจากปริมาณงานกับกำลังพลที่มีอยู่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้งานสอบสวนของโรงพักล้นเกินกำลังของพนักงานสอบสวน กลายเป็นความเครียดสะสม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลายราย บางรายถึงขั้นอยากจบชีวิตตัวเอง กระทั่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้ผู้บัญชาการ และผู้บังคับการ ตำรวจภูธรผู้บังคับการตำรวจนครบาล เข้าไปตรวจสอบสถานภาพกำลังพล และขวัญกำลังใจของพนักงานสอบสวน ทุก สภ. และ สน.แล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม มีรายงานว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เซ็นคำสั่งด่วนที่สุด เรื่อง แนวทางการช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่งานสอบสวนประจำสถานีตำรวจเป็นการชั่วคราว ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568

โดยระบุว่า ด้วย ในการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 5/2568 เมื่อ 27 มิถุนายน 2568 วาระที่ 3 เรื่อง รายงานการดำเนินการของ อ.ก.ตร.สืบสวนสอบสวน ที่ ก.ตร. มอบหมายให้ทำการแทน ซึ่งภายหลัง อ.ก.ตร.สืบสวนสอบสวนรายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้ที่ประชุมรับทราบแล้ว ได้มีการอภิปรายเพิ่มเติมและเสนอให้ ตร. ดำเนินการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนพนักงานสอบสวน โดยการปรับเกลี่ยข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน) ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งในสายงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน) ประจำสถานีตำรวจ ให้ไปช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่งานสอบสวนประจำสถานีตำรวจเป็นการชั่วคราว ในระหว่างการดำเนินการกำหนดโครงสร้าง และกำหนดตำแหน่งในกลุ่มสายงานสืบสวนสอบสวนตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และการรอบรรจุข้าราชการตำรวจใหม่เพิ่มเติมเพื่อทำหน้าที่งานสอบสวน

เพื่อให้การดำเนินการของ ตร. สอดคล้องตามข้อเสนอเพิ่มเติมในการประชุม ก.ตร. ดังกล่าว และเพื่อให้การบริการประชาชนทางด้านการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาในความรับผิดชอบของ ตร. มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงกำหนดแนวทางการปรับเกลี่ยข้าราชการตำรวจไปช่วยเหลืองานสอบสวนประจำสถานีตำรวจในสังกัด บช.น. และ ภ.1-9 เป็นการชั่วคราวไว้ดังต่อไปนี้

1. ยกเลิกคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจสายงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน) ไปช่วยราชการในสังกัด ตร. ช่วยราชการนอกสังกัด ตร. และช่วยราชการหรือการอนุมัติเดินทางไปปฏิบัติราชการของศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ ของ บช.น. และ ภ.1-9 ทุกราย โดยเน้นย้ำให้ถือปฏิบัติตามหนังสือ ตร. ด่วนที่สุดที่ 0009.232/ว 2123
ลง 23 มิ.ย.67 เรื่อง การปรับปรุงประสิทธิภาพในสายงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน)

2. วิธีการดำเนินการของ บช.น. และ ภ.1-9
2.1 สำรวจปริมาณงานสอบสวนและความต้องการข้าราชการตำรวจสายงานสืบสวน (สอบสวน) เพิ่มเติมของสถานีตำรวจในสังกัด เพื่อนำไปจัดทำข้อมูลการบริหารงานบุคคคลและใช้ประกอบการพิจารณาสั่งการให้ข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งสายงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน) ในกลุ่มงานสอบสวน บก.สส.
งานตรวจสอบสำนวนคดี บก.กค. กลุ่มงานสอบสวน บก.น. และกลุ่มงานสอบสวน ภ.จว. (ยกเว้นใน บก.จร.) ไปปฏิบัติราชการใน บก.น. ภ.จว. และสถานีตำรวจ
2.2 มีคำสั่งให้ ผกก.(สอบสวน) ถึง รอง สว.(สอบสวน) ที่ดำรงตำแหน่งในกลุ่มงานสอบสวน บก.สส. และกลุ่มงานตรวจสอบสำนวนคดี บก.กค. ไปปฏิบัติราชการที่ บก.น. และ ภ.จว. ทุกราย โดยพิจารณาและจัดสรรกำลังพลจากปริมาณงานและความต้องการข้าราชการตำรวจตามที่ได้สำรวจมาในข้อ 2.1

ทั้งนี้ ให้คงเหลือ ผกก.(สอบสวน) ไว้ปฏิบัติหน้าที่ที่ บก.สส. และ บก.กค. ไว้ได้เฉพาะเท่าที่จำเป็น สามารถชี้แจงเหตุผลได้ว่า ผกก.(สอบสวน) ที่ไม่ได้สั่งไปปฏิบัติราชการแต่ละรายมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องใด มีปริมาณงานเท่าใด งานที่ได้รับมีความเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ โดยห้ามไม่ให้มอบหมายงานอื่นนอกเหนือจากงานสอบสวน หรืองานตรวจสอบสำนวนคดีตามหน้าที่และอำนาจของกลุ่มงานสอบสวน บก.สส. และกลุ่มงานตรวจสอบสำนวนคดี บก.กค. ให้ปฏิบัติโดยเด็ดขาด

3. วิธีการดำเนินการของ บก.น. และ ภ.จว. แบ่งเป็น 2 ระดับตำแหน่ง ดังนี้
3.1 ตำแหน่ง ผกก.(สอบสวน) สามารถพิจารณาสั่งการและมอบหมายได้ลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือทั้งสองลักษณะ คือ

(1) ลักษณะที่ 1 ให้ไปปฏิบัติราชการที่สถานีตำรวจ เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มีความยุ่งยากซับซ้อนตามที่หัวหน้าสถานีตำรวจมอบหมาย รวมถึงให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะการทำหน้าที่สอบสวนคดีแก่ข้าราชการตำรวจในสถานีตำรวจนั้น โดยให้ขึ้นการบังคับบัญชากับหัวหน้าสถานีตำรวจ
โดยตรง ทั้งนี้ การสั่งให้ข้าราชการตำรวจรายใดไปปฏิบัติราชการที่สถานีตำรวจใด ให้พิจารณาจากรายชื่อ
ที่หัวหน้าสถานีตำรวจเสนอความต้องการเป็นลำดับแรก แล้วจึงพิจารณาจากความสมัครใจของ ผกก.(สอบสวน)
เป็นลำดับถัดไป และหากยังไม่ครบถ้วนให้ ผบก. พิจารณาจัดสรรให้ครบตามความเหมาะสม หรือ

(2) ลักษณะที่ 2 อยู่ปฏิบัติราชการที่กลุ่มงานสอบสวน บก.น. หรือกลุ่มงานสอบสวน ภ.จว. ให้ ผบก. ใช้อำนาจในฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในท้องที่นั้นมอบหมายให้ ผกก.(สอบสวน) เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีแทนสถานีตำรวจในคดีที่มีความยุ่งยากซับซ้อน รวมถึงอาจจัดให้ข้าราชการตำรวจบางรายรับผิดชอบงานตามหน้าที่และอำนาจของกลุ่มงานสอบสวน บก.น. และ กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว. ได้เฉพาะเท่าที่จำเป็น

ทั้งนี้ ต้องสามารถชี้แจงเหตุผลได้ว่า ผกก.(สอบสวน) ที่ไม่ได้สั่งไปปฏิบัติราชการในสถานีตำรวจแต่ละรายมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องใด มีปริมาณงานเท่าใด งานที่ได้รับมีความเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ โดยให้ขึ้นการบังคับบัญชากับ รอง ผบก. ที่รับผิดชอบงานสอบสวน ในการกำกับดูแลและบังคับบัญชาให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ให้มีหน้าที่อำนาจและความรับผิดชอบตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 4 ของแนวทางนี้

3.2 ตำแหน่ง รอง ผกก.(สอบสวน) ถึง รอง สว.(สอบสวน) ให้มีคำสั่งไปปฏิบัติราชการที่สถานีตำรวจทุกราย โดยพิจารณาจากสถานีตำรวจที่มีปริมาณงานมากและ/หรือมีความจำเป็นต้องการพนักงานสอบสวนเพิ่มก่อน แล้วให้หัวหน้าสถานีตำรวจออกคำสั่งมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนเวร เช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งสายงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน) ในสถานีตำรวจ มีหน้าที่อำนาจรับผิดชอบตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 4 ของแนวทางนี้

ทั้งนี้ ให้สามารถคงเหลือข้าราชการตำรวจในกลุ่มนี้ไว้ปฏิบัติหน้าที่ที่กลุ่มงานสอบสวน บก.น. และกลุ่มงานสอบสวน ภ.จว. ไม่เกินหน่วยละ 1 ราย เว้นแต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ ให้เสนอขออนุมัติไปยัง บช.น. หรือ ภ.1-9 เพื่อพิจารณาเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายไป

4. หน้าที่อำนาจและความรับผิดชอบ
4.1 คดีอาญาทั่วไป ให้ถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงานสอบสวนที่กำหนดไว้ในคำสั่ง ตร. ที่ 538/2555 ลง 27 ก.ย. 55 เรื่อง การปฏิบัติและอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบขอบของพนักงานสอบสวนและผู้ปฏิบัติงานสอบสวน โดยเทียบเคียง ดังนี้
(1) ผกก.(สอบสวน) เทียบเคียงกับ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ
(2) รอง ผกก.(สอบสวน) เทียบเคียงกับ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ
(3) สว.(สอบสวน) เทียบเคียงกับ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ
(4) รอง สว.(สอบสวน) เทียบเคียงกับ พนักงานสอบสวน

4.2 คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ ตร. กำหนดให้อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนในสังกัดสถานีตำรวจ ตามคำสั่ง ตร. ที่ 182/2566 ลง 17 มี.ค. 66 เรื่อง การรับแจ้งความร้องทุกข์การบริหารคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบฯ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้
(1) ผกก.(สอบสวม) รับผิดชอบในคดีที่มีมูลค่าความเสียทายตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป
(2) รอง ผกก.(สอบสวน) ถึง รอง สว.(สอบสวน) รับผิดชอบคดีเช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งสายงานสืบสวนสอบสอบสวน (สอบสวน) ในสถานีตำรวจ ที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของผกก.(สอบสวน) ตามข้อ 4.2 (1)

5. การสนับสนุนงานสืบสวนสอบสวน (สอบสวน)
5.1 บช.สอท. และ สทส. สนับสนุนการใช้งานระบบสารสนเทศต่างๆ ในงานสืบสวนสอบสวนให้ข้าราชการตำรวจที่มีคำสั่งไปปฏิบัติราชการในหน่วยหน่วยต่างๆ เช่น การใช้งานระบบสารสนเทศข้อมูลอาชญากรรม ตร. (CRIMES) ระบประจำวันอิเล็กทรอนิกส์สถานีตำรวจ (PDAR) และระบบบริหารจัดการคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (thaipoliceonline.com) ให้สามารถปฏิบัติและใช้งานระบบระบบสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.2 ผบช.น และ ผบช.ภ.1-9 หรือ รอง ผบช. ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ กำกับดูแลงานสืบสวน สั่งและควบคุมการปฏิบัติของฝ่ายสืบสวนให้สนับสนุนการทำงานของงานสอบสวน ในการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยให้ถือปฏิบัติตามคำสั่ง ตร. ที่ 182/2566 ลง 17 มี.ค. 66 เรื่อง การรับแจ้งความร้องทุกข์ การบริหารคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบฯ

6. การรายงาน
6.1. บช.น. และ ภ.1-9 จัดทำข้อมูลรายละเอียดการปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการตำรวจสืบสวนสอบสวน (สอบสวน) ในสังกัดทุกรายในภาพรวม โดยให้ปรากฎข้อมูลว่าข้าราชการตำรวจรายใดมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ใด ได้รับมอบหมายงานใด มีผลการปฏิบัติในแต่ละวงรอบเป็นอย่างไร (ตามเอกสารรายงานที่แนบ) เพื่อสามารถนำมาพิเคราะห์ได้ว่าการสั่งให้ไปปฏิบัติราชการดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพขององค์กรหรือไม่เพียงใด รวมถึงใช้เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาความดีความชอบของหน่วยต่อไป

ทั้งนี้ ให้หน่วยรวบรวมและรายงานผลมายัง ตร. (ผ่าน สบส.) ครั้งแรกในวันที่ 25 ก.ค. 2568 และในวันเดียวกับของทุกเดือน

6.2 กมค.(สบส.) ทำหน้าที่รวบรวมรายงานผลการปฏิบัติและสรุปผลเสนอ ตร. รวมถึงเป็นหน่วยรับฟังปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้อง ประสานงานและให้คำปรึกษาในการปฏิบัติตามแนวทางการช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่งานสอบสวนประจำสถานีตำรวจเป็นการชั่วคราวนี้ ทางกลุ่มไลน์ “รายงานข้อมูลงานสอบสวน”

7. การบังคับบัญชา ควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติ

7.1 ผบก.น. และ ผบก.ภ.จว. ในฐานะผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดมีหน้าที่ควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติงานในภาพรวมของงานสืบสวนสอบสวนในพื้นที่รับผิดชอบให้เกิดประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของข้าราชการตำรวจที่มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการในสังกัดทุกราย

7.2 ผบช.น. และ ผบช.ภ 1-9 หรือ รอง ผบช. ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบกำกับดูแลงานสอบสวน มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลการปฏิบัติของหน่วยงานในสังกัด รวมถึงสนับสนุนงบประมาณให้ บก.น. และ ภ.จว. เมื่อได้รับการร้องขอ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามแนวทางนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

7.3 รอง ผบ.ตร.(กม) และ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในสายงาน กม. กำกับดูแล สั่งและปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. ในการขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ผบ.ตร. เซ็นสั่งด่วน แนวทางปรับเกลี่ยตร.ไปช่วย ‘พนง.สอบสวน’ ประจำโรงพัก แก้งานล้น

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th