ชวนเที่ยว ‘พิพิธภัณฑ์ครุฑ’ เดือนสิงหา 68 รับของที่ระลึกจำนวนจำกัด
"คนไทยทุกคนเกิดมา ล้วนมีองค์ครุฑประจำตัว" เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย ไม่ว่าใบแจ้งเกิด บัตรประชาชน ใบทะเบียนบ้าน ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ ฯลฯ
นับเป็นโอกาสดีที่ได้ไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรก และแห่งเดียวของอาเซียน อยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการนี่เอง
เรานั่งรถไฟฟ้า BTS สีเขียวไปลงที่สถานีเคหะ แล้วต่อรถตู้ไปอีกนิดหนึ่งก็ถึง ลงรถมาพบกับองค์ครุฑขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า
พญาครุฑองค์ใหญ่สูงกว่า 4 เมตร เคยเป็นตราครุฑที่ธนาคารนครหลวงไทย สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรี ได้รับพระราชทานจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายหลังจากถูกควบรวมกิจการ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 จึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้
องค์ครุฑขนาดใหญ่ ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ Cr. Kanok Shokjaratkul
อุตมะ ปภาภูธนะนันต์ ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ครุฑ ผู้นำชม เล่าที่มาของพิพิธภัณฑ์ครุฑ ให้ฟังว่า พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารทหารไทยธนชาต เกิดขึ้นในปี 2554 เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา
"ในเวลานั้นธนาคารธนชาตและธนาคารนครหลวงไทยได้ควบรวมกิจการกัน ส่งผลให้องค์ครุฑที่ประดิษฐานอยู่ตามสาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศต้องถูกจัดเก็บตามพระราชบัญญัติ อาคารแห่งนี้มีแบบแปลนคล้ายองค์ครุฑขนาดใหญ่ จึงใช้เป็นสถานที่จัดเก็บและจัดแสดงองค์ครุฑ
ปี 2564 ธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทยได้ควบรวมกิจการกันเป็น ธนาคารทหารไทยธนชาต มีการปรับปรุงเป็น 6 โซน และเปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมและเรียนรู้ ทุกวันศุกร์และวันเสาร์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ "
องค์ครุฑขนาดใหญ่ ตรงทางเข้า Cr. Kanok Shokjaratkul
ครุฑ เป็นต้นแบบความกตัญญู ปลดปล่อยมารดาสู่อิสรภาพ อีกทั้งตำนานศึกสายเลือด ต่างมารดา ระหว่างครุฑกับนาค มีที่มาอย่างไร ลองมาฟังกัน
"ตามคติเทวราชาศาสนาพราหมณ์ฮินดูมีความเชื่อว่า กษัตริย์คือพระนารายณ์อวตารลงมาปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข โดยมี พญาครุฑ เป็นพระพาหนะผู้ซื่อสัตย์ คอยติดตามไปทุกหนแห่ง เราจึงพบเห็น ตราครุฑพ่าห์ อยู่ในทุกที่ที่องค์กษัตริย์เสด็จไป
ในคัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า พญาครุฑเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ บางตำรากล่าวว่า พระนารายณ์เป็นผู้สร้างพญาครุฑขึ้นมา และบางตำรากล่าวว่าพญาครุฑถือกำเนิดขึ้นมาจากบุคคลอื่น
อย่างไรก็ตาม ตำนานการกำเนิดครุฑที่นิยมเล่าขานกันมากที่สุด คือคติฮินดู ที่เล่าถึงบิดาของพญาครุฑและพญานาค พระกัศยปะฤาษี ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ได้อภิเษกสมรสกับธิดาของพระทักษะประชาบดี คือนางวินตาและนางกัทรุ
นางกัทรุ ขอพรให้มีบุตรผู้มีพละกำลังแกร่งกล้า และได้คลอดบุตรเป็นไข่ 1,000 ฟอง เมื่อไข่แตกออก พญานาคผู้มีฤทธิ์มากนับพันตน จึงถือกำเนิดขึ้น
นางวินตา ขอพรให้มีบุตรเพียง 2 ตน มีพละกำลังยิ่งใหญ่เหนือใคร เมื่อเวลาผ่านไปไข่ของนางวินตาก็ยังไม่แตกออก ด้วยความร้อนใจ นางจึงทุบไข่ออกมา 1 ฟอง ทำให้บุตรนั้นพิการเหลือเพียงครึ่งตัว ด้วยความโกรธแค้นในมารดา บุตรนั้นสาปแช่งให้นางวินตาต้องตกเป็นทาสของนางกัทรุเป็นเวลานานถึง 500 ปี และผู้ถอนคำสาปได้คือบุตรอีกตนหนึ่ง จากนั้นก็เหินขึ้นไปเป็นสารถีให้พระอาทิตย์ ได้รับการขนานนามว่าพระอรุณ เมื่อเวลาผ่านไป ไข่อีกฟองเริ่มแตกออก พญาครุฑ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
Cr. Kanok Shokjaratkul
ในพุทธศาสนา ตำนานครุฑมีความแตกต่างออกไป สามารถกำเนิดขึ้นได้ถึง 4 แบบ คือ ออกมาจากไข่ (อันฑชะ) เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะ) เกิดจากเถ้าไคล (สังเสทชะ) เกิดขึ้นได้เองเหมือนเทวดา (โอปปาติกะ)
ที่อยู่อาศัยของครุฑ ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวไว้ว่า พำนักอยู่ที่ปากถ้ำริมสิมพลี ณ ตีนเขาพระสุเมรุ คอยจับนาคมากินเป็นอาหาร แต่ไม่ใช่ทุกตน เพราะนาคบางเผ่าพันธุ์ก็มีอิทธิฤทธิ์มาก
ลักษณะและพลังอำนาจ พญาครุฑ มีลำตัวใหญ่ มากกว่า 50 โยชน์ (หนึ่งโยชน์เท่ากับ 8,000 วา หรือ 16 กิโลเมตร) ขนปีกซ้ายขวาแต่ละข้างยาว 50 โยชน์ เมื่อกระพือปีกครั้งหนึ่ง สามารถพัดพาเอาต้นไม้หรือสิ่งของบนพื้นดินปลิวตามแรงลมขึ้นมาได้ แม้แต่บนผิวน้ำของมหาสมุทรก็ยังแตกออกเป็นวงกว้างถึง 100 โยชน์
Cr. Kanok Shokjaratkul
ครุฑ มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปตามตำนานความเชื่อในแต่ละพื้นที่ ได้แก่ มีกายเป็นมนุษย์แต่มีปีกเป็นนก, มีกายเป็นมนุษย์แต่มีศีรษะเป็นนก, มีกายเป็นมนุษย์แต่ศีรษะและขาเป็นนก, มีกายเป็นนกแต่มีศีรษะเป็นมนุษย์ และ มีลำตัวกับศีรษะเป็นพญาครุฑ
พญาครุฑในสังคมไทย สามารถพบเห็นตราสัญลักษณ์ได้ในหลายสถานที่ ไม่ว่า ศาสนสถาน, ธนาคาร, หน่วยงานราชการ, องค์กรเอกชน, เครื่องรางของขลัง
โซน 1 โถงต้อนรับ Cr. Kanok Shokjaratkul
ในภาพคติจักรวาลวิทยาที่วาดขึ้นสมัยพระธรรมราชาที่ 1 ถึงพญาลิไทแห่งอาณาจักรสุโขทัย ปี พ.ศ.1888 จักรวาลเปรียบเสมือนมะนาวผ่าซีกคว่ำลง จุดศูนย์กลางคือ เขาพระสุเมรุ มีขนาดใหญ่โตถึง 84,000 โยชน์ (1,344,000 กิโลเมตร) และมีความลึกเท่ากัน ล้อมรอบด้วยเทือกเขาวงแหวน 7 ชั้น เรียกว่า เทือกเขาสัตตบริภัณฑ์ ด้านล่างสุดของจักรวาลมีปลาขนาดใหญ่ 1 ตัว ชื่อว่า ปลาอานันทะ หากปลาตัวนี้เคลื่อนไหว ก็จะเกิดแผ่นดินไหว
ในจักรวาลมีทั้งหมด 4 ทวีป แต่ละทวีปมีมนุษย์รูปร่างลักษณะต่างกัน ทิศตะวันตก อปรโคยานทวีป มนุษย์มีใบหน้าเสี้ยวพระจันทร์, ทิศเหนือ อุตรกุรุทวีป มนุษย์มีใบหน้าสี่เหลี่ยม, ทิศตะวันออก บุรพวิเทหทวีป มนุษย์มีใบหน้ากลม, ทิศใต้ ชมพูทวีป มนุษย์มีใบหน้ารูปไข่ เป็นทวีปที่มีความทุกข์ ก่อให้เกิด สัจธรรม (หรืออริยสัจ 4: ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เป็นที่กำเนิดของพระพุทธศาสนา วัตถุประสงค์ของการสร้างสรรค์ภาพคติจักรวาลวิทยาเพื่อให้เห็นเรื่องของบาป บุญ คุณ โทษ
โซน 2 ครุฑพิมาน Cr. Kanok Shokjaratkul
ที่ด้านหน้าของเขาพระสุเมรุ มีสระน้ำชื่อว่า สระอโนดาต น้ำในสระไหลเข้าออกได้ 4 ทิศผ่านประตูน้ำ 4 ประตู แต่ละประตูเชื่อมโยงกับสัตว์มงคลประจำทิศ
ทิศตะวันออก สิทธามุข เป็นที่อยู่ของสิงโต, ทิศตะวันตก อัสมุข เป็นที่อยู่ของม้า, ทิศเหนือ ปทุมุข เป็นที่อยู่ของช้าง, ทิศใต้ อุสมุข เป็นที่อยู่ของวัว ในคติพราหมณ์เชื่อว่าน้ำนมวัวเป็นน้ำนมศักดิ์สิทธิ์ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังมีสัตว์วิเศษอื่น ๆ ได้แก่ คชสีห์ (คชะ-ช้าง, สีห์-ราชสีห์) สัตว์ผสมที่ปรากฏในกฎหมายตรา 3 ดวง สมัยรัชกาลที่ 1 ปัจจุบันเป็นตราประจำกระทรวงกลาโหม
โซน 2 ครุฑพิมาน Cr. Kanok Shokjaratkul
กินรี หรือ มักกะลีผล (นารีผล) ผลไม้ที่ออกเป็นรูปหญิงสาว เมื่อผลหลุดร่วงแล้วจะอยู่ได้เพียง 7 วัน ถูกเนรมิตขึ้น 16 ต้น โดยท้าวสักกะเทวราช เพื่อปกป้องพระแม่มัทรีผู้มีสิริโฉมงดงามจากการถูกรบกวนในป่าหิมพานต์ ขณะที่พระเวสสันดรประทับอยู่ ต้นนารีผลถือเป็นเครื่องทดสอบกำลังใจของผู้บำเพ็ญเพียร เพราะการเสพสังวาสกับสตรีหรือนารีผลจะทำให้ตบะเสื่อม
คนธรรพ์ (พลธรรพ์) เทพบุตรรูปงาม มีหน้าที่บรรเลงดนตรีให้ความบันเทิง เป็นคาสโนว่าแห่งสวรรค์ แต่แพ้ให้กับสตรี เช่นต้นมักกะลีผล
โซน 4 อมตะจ้าวเวหา Cr. Kanok Shokjaratkul
- พญาครุฑ สัญลักษณ์แห่งองค์ราชัน
ตามคติเทวราชา เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นอวตารของ พระนารายณ์ ลงมาปกครอง ทำให้ ครุฑ กลายเป็นเครื่องหมายสำคัญของพระมหากษัตริย์ไทย และเป็นตราแผ่นดินมาอย่างยาวนาน
ตั้งแต่สมัยทวารวดี อยุธยา รัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนาราชวงศ์จักรี (พ้องเสียงกับ จักร และ ตรี อาวุธของพระนารายณ์) ครุฑปรากฏเด่นชัดในสถาบันหลักทั้ง 3 คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบตราแผ่นดินเป็น ตราพระครุฑพ่าห์ ใช้มาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ครุฑยังปรากฏในธงมหาราช แสดงถึงการประทับของพระมหากษัตริย์ ณ สถานที่นั้น ๆ ครุฑจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
โซน 3 นครนาคราช Cr. Kanok Shokjaratkul
- ครุฑยุดนาค
ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครุฑรู้ว่านาคโกงมารดาของตน จึงไปขอพรจากมหาเทพ (บางตำราบอกพระอินทร์ บางตำราบอกพระนารายณ์) ให้สามารถกินมันเปลวเหลวบริเวณหน้าท้องของนาคได้ การที่ครุฑกินนาค ทำให้ทั้งคู่ตายแล้วตายเล่า เป็นกรรมที่ผูกพันกัน
กรรมนี้ตกมาถึง ปันธรกนาคราช และครุฑอีกองค์หนึ่ง ปันธรกนาคราชเป็นผู้ฉลาด ได้กลืนหินจำนวนมากไว้ในท้องเพื่อไม่ให้ครุฑจับกินได้ ร้อนถึงหัวหน้าครุฑต้องไปหาชีปะขาว ผู้แสร้งทำเป็นผู้ปฏิบัติธรรมไปหลอกถามปันธรกนาคราชถึงวิธีจับนาคให้สำเร็จ ปันธรกนาคราชเชื่อใจว่าเป็นครูบาอาจารย์จึงยอมบอกว่าให้จับที่หางแล้วเขย่าออก เมื่อครุฑรู้ความจริงก็ทำตาม ทำให้จับปันธรกนาคราชได้สำเร็จ กลายเป็นภาพครุฑยุดนาค
Cr. Kanok Shokjaratkul
ปันธรกนาคราชอุทานเป็นอรรถกถาธรรมว่า "เราไม่น่าบอกสิ่งที่มิควรบอกกับบุคคลที่ไม่ควรบอกเลย ภัยที่เกิดจากมิตรย่อมร้ายกว่าภัยที่เกิดจากศัตรู เราเสียแก่บุคคลที่เราไว้ใจ"
เมื่อครุฑได้ยินดังนั้นก็สำนึกผิด ประกาศว่า ท่านจงมาเป็นบุตรของเราเถิด โดยถือว่าปันธรกนาคราชเป็นบุตรประเภท ลูกศิษย์ ตั้งแต่นั้นมา ครุฑกับนาคก็เคารพกัน ความอาฆาตแค้นจึงยุติลง
ในพุทธศาสนา ปันธรกนาคราชมาเสวยชาติเป็น พระสารีบุตร ส่วนองค์ครุฑมาเสวยชาติเป็น พระสมณโคดม (พระพุทธเจ้า) และชีปะขาวคือ พระเทวทัต เรื่องราวนี้ปรากฏในปันธรกชาดก แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างยุติได้ด้วยความรักและความเมตตา"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- ครุฑกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ในโซนที่ 5 สุบรรณแห่งองค์ราชัน ตามรอยตราพระครุฑพ่าห์ : เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงหลั่งทักษิโณทกและให้คำมั่นสัญญากับปวงชนชาวไทยไว้ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
"ตลอดเวลากว่า 70 ปีแห่งการครองราชย์ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไป โดยมี ธงมหาราชโบกสะบัดนำหน้า ทรงการแก้ไขปัญหาน้ำ พัฒนาคุณภาพดิน จนได้รับการถวายพระราชสมัญญาเป็น บิดาแห่งดินโลก เคยมีผู้กราบบังคมทูลถามพระองค์ว่า เหตุใดจึงทรงพระดำเนินอย่างรวดเร็ว พระองค์ตรัสตอบว่า"เพราะความทุกข์ของประชาชนไม่เคยรอ"
องค์ครุฑนำทัพ จ.ตาก (ด้านขวา) Cr. Kanok Shokjaratkul
ในปี พ.ศ. 2511 เพียงปีเดียว พระองค์เสด็จพระราชดำเนินกว่า 48,000 กิโลเมตร พระราชทาน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่การประหยัด แต่คือ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
3 ห่วง คือ ความพอประมาณ การมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
2 เงื่อนไข คือ ความรู้ คู่ คุณธรรม ไม่ใช่ผลกำไรหลัก แต่มุ่งสู่ความสงบสันติสุขที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในการดำเนินชีวิต
Cr. Kanok Shokjaratkul
หากเปรียบประเทศชาติเป็นต้นไม้ใหญ่ สิ่งที่คนมักลืมคือราก หากไม่มีพ่อขุนรามคำแหง เราจะมีภาษาใช้หรือไม่ หากไม่มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน เราจะมีเอกราชหรือไม่ หากไม่มีราชวงศ์จักรี แผ่นดินไทยของเราจะเป็นเช่นไร สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นมีคุณูปการอย่างมหาศาลต่อคนไทย
ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีโครงการในพระราชดำริกว่า 5,000 โครงการ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ปูทางไว้ เปรียบดังแสงประทีปนำทาง นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ธนาคารทหารไทยธนชาตและพิพิธภัณฑ์ครุฑ ตั้งใจถ่ายทอดเพื่อสะท้อนความสำคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์"
เราเดินชมโซนต่าง ๆ พร้อมฟังคำบรรยายจนมาถึงโซนสุดท้าย โซนที่ 6 ห้องจัดแสดงครุฑ
Cr. Kanok Shokjaratkul
- องค์ครุฑ จากตำนานสู่สัญลักษณ์แห่งความมั่นคง
ตามบทประพันธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) อธิบายลักษณะของ ครุฑ ว่ามีพักตร์สีขาวชื่อว่าสิตา แปลว่าผู้มีใบหน้าสีขาว ร่างกายสีทองมีชื่อว่า วันกาย มีปีกสีแดง จึงมีชื่อว่า รัต แปลว่าผู้มีปีกสีแดง
ครุฑในหน่วยงานราชการหรือบริษัทเป็นสีทอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมารัชกาลที่ 6 ทรงให้พระเทวาภินิมิตออกแบบตราครุฑพระราชทานใหม่ กำหนดให้เป็น สีแดง สำหรับบริษัทและร้านค้าที่ค้าขายกับพระราชสำนัก เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความมั่นคงและคุณงามความดีของบริษัทนั้น ๆ
ลักษณะขององค์ครุฑที่ได้รับพระราชทาน จะสวมมงกุฎเตี้ย มีกาสร หรือผ้าห้อยทอง มีทับทรวงรัตนมณี มีปลอกแขนเรียกว่า พระ หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต จะมีข้อความระบุว่า โดยได้รับคำราชานุญาต ปัจจุบันมีพระราชกฤษฎีกาควบคุมการขอรับพระราชทานตราครุฑฯ กำหนดให้ผู้ขอเป็นนิติบุคคลที่มีฐานะการเงินดี ไม่มีหนี้สินล้นพ้น ตามมาตรา 8 ที่สำนักนายกรัฐมนตรีดูแล
Cr. Kanok Shokjaratkul
ในโซนนี้มีองค์ครุฑมากมาย ลักษณะแตกต่างกัน คุณอุตมะเล่าต่อว่า องค์ครุฑที่จัดสร้างมี 3 หน้า
- ครุฑหน้านก เพื่อให้รู้สึกถึงเมตตา บารมี และเชื้อเชิญการค้า มีใบหน้ากลมมน
- ครุฑหน้ายักษ์ มีตากลมโต คิ้วเป็นคิ้วจระเข้ ปากจระเข้ แสดงถึงอำนาจ วาสนา บารมี ให้คนยำเกรง เช่น องค์ครุฑหน้ายักษ์จากสาขาประเวศ มีลักษณะเหยียดแขนตึงและพับนิ้วเก็บ ซึ่งเป็นท่าร่ายรำนาฏศิลป์
- ครุฑหน้าเทวดา มีใบหน้าเหมือนมนุษย์ แต่มีปากเป็นนก
เดิมทีองค์ครุฑสร้างจากไม้มงคลเนื้อแข็ง เช่น ไม้พยุง ไม้ตะเคียน ต้องผ่านพิธีกรรมขอพระแม่ธรณีเปิดปาก ขอฤกษ์ และประจุหัวใจครุฑเข้าไป ต่อมาไม้หายากขึ้น จึงสร้างจากไฟเบอร์กลาส ช่วยให้บูรณะได้ง่ายขึ้นเมื่อเกิดการชำรุด
Cr. Kanok Shokjaratkul
ลักษณะเท้ามี 2 แบบ แสดงถึงระดับอำนาจที่แตกต่างกัน
• ครุฑเท้าดุล (เท้าตั้ง) หมายถึง อำนาจของพระมหากษัตริย์โดยตรง ใช้ในพระราชสำนัก พระราชกิจจานุเบกษา และการทูต
• ครุฑเท้าเหยียด หมายถึง อำนาจที่องค์พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่หน่วยงานราชการในกระทรวงต่างๆ
จำนวนเล็บของครุฑ สัญลักษณ์แห่งฐานะและบารมี ถ้ามี 5 เล็บ:จักรพรรดิ์, 4 เล็บ:ผู้ปกครอง/ รัฐมนตรี, 3 เล็บ:คหบดี
Cr. Kanok Shokjaratkul
เมื่อองค์ครุฑผ่านพิธีพุทธาภิเษก ดวงตาของครุฑจะถูกปกปิดด้วยผ้าขาว มีความเชื่อว่า ดวงตาของครุฑเปรียบดั่งสายฟ้า หากมองสิ่งใดจะเกิดความมอดไหม้ อีกนัยยะหนึ่งคือ หากบุคคลใดมองครุฑและคิดไม่ซื่อกับแผ่นดิน ไฟจะเผาใจ นอกจากนี้ การปิดตายังช่วยป้องกันความเสียหาย (รอยขีดข่วน) ที่ดวงตาในระหว่างการเคลื่อนย้ายงานปฏิมากรรมอีกด้วย
- ทำไมจึงต้องสักการะบูชาครุฑ?
พิพิธภัณฑ์ครุฑโดยธนาคารทหารไทยธนชาตไม่ได้ต้องการให้บุคคลเชื่อโดยไม่มีเหตุผล แต่ต้องการให้ศรัทธาด้วยความตระหนักในคุณธรรม มนุษย์มีความประเสริฐอยู่ที่จิตใจ
องค์ครุฑเป็นเทวดาที่ทรงคุณธรรม มีหิริโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวละอายต่อบาป) ในคติรามเกียรติมีความซื่อสัตย์และกตัญญู การสักการะควรมาจากความตระหนักในคุณธรรม มิใช่เพื่อลาภ ยศ หรือความสุขทางโลก
Cr. Kanok Shokjaratkul
หากเราศรัทธาองค์ครุฑอย่างถูกต้อง ย่อมนำไปสู่การคิดที่ถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้อง และความตั้งใจที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลที่ดีตามมา
ในทางพระพุทธศาสนา มีพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ คือ ท้าวพุโหนะ หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวมหาราชทั้งสี่ผู้ปกครองทิศเหนือ และเป็นใหญ่ในองค์ครุฑทั้งปวงในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เราสามารถกราบไหว้ท้าวพุโหนะได้อย่างสนิทใจ เพราะท่านเป็นผู้ที่บรรลุธรรมอย่างน้อยระดับพระโสดาบันขึ้นไป ซึ่งละสังโยชน์ได้บางส่วน
Cr. Kanok Shokjaratkul
- องค์ครุฑสำคัญในพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ครุฑได้รวบรวมองค์ครุฑจากสาขาต่าง ๆ ซึ่งแต่ละองค์มีความสำคัญและเรื่องราวเฉพาะ
มีความเชื่อว่า หากนำกระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์ที่มีแอปพลิเคชันของธนาคารแล้วเปิดไว้ นำมาลอดผ่านองค์ครุฑ จะช่วยเสริมเรื่องเงินทองและความมั่งคั่ง เนื่องจากองค์ครุฑเหล่านี้เคยอยู่ในธนาคารและผ่านกระแสการเงินหลายร้อยล้าน
องค์ครุฑสาขาหาดใหญ่ Cr. Kanok Shokjaratkul
องค์ครุฑหาดใหญ่ เป็นองค์ที่มีผู้นำผ้าสามสีมาผูกไว้ ทางพิพิธภัณฑ์ต้องนำออกตลอด เนื่องจากมีผู้มาขอพรแล้วได้ตามที่ขอ (การขอพรองค์ครุฑนี้ เป็นเรื่องการงานและการเงิน มีกฎ 3 ข้อ 1)ขอพรเท่านั้น ไม่ใช่บนบานศาลกล่าว 2)ไม่ขัดต่อหลักศีลธรรมและคุณธรรม 3)ต้องเอามือป้องปากกระซิบขอพร และห้ามบอกพรที่ขอแก่ใคร)
องค์ครุฑเยาวราช : มาจากสาขาเยาวราช นอกจากกระแสเงินแล้ว ยังซึมซับกระแสทองคำจำนวนมหาศาลจากร้านทองในย่านนั้นด้วย มีลักษณะเจ้าเนื้ออ้วนท้วน ตามความเชื่อของชาวจีน หมายถึง อยู่ดีกินดี ไม่เหนื่อย ไม่ลำบาก มีเงินทองใช้มากมาย สวมหมวกจักรพรรดิ์
องค์ครุฑสาขาเยาวราช Cr. Kanok Shokjaratkul
องค์ครุฑธงนำทัพ มาจากจังหวัดตราด สื่อถึง ธงมหาเดช ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชื่อกันว่า เป็นธงกอบกู้เอกราช ปัดเป่าภัยพิบัติ องค์ครุฑมีรัศมี 8 ชาย
องค์ครุฑที่เก่าแก่ที่สุด มาจากสาขาราชดำเนิน ได้รับพระราชทานเดือนมกราคม พ.ศ. 2484 ในสมัยรัชกาลที่ 8 ปัจจุบันมีอายุ 84 ปี แม้จะเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังคงดูใหม่เนื่องจากการดูแลรักษา"
องค์ครุฑองค์แรกที่เก่าแก่ที่สุด สาขาราชดำเนิน Cr. Kanok Shokjaratkul
ปิดท้ายการชมด้วยการฝากคาถา หัวใจพญาครุฑ นั่นคือ ซื่อสัตย์ กตัญญู ความดี
ในเดือนสิงหาคม 2568 นี้ พิพิธภัณฑ์ครุฑ มีของที่ระลึก ยันต์หนุนดวงและโปสเตอร์หัวใจพญาครุฑ มอบให้แก่ผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นมงคลด้วย
- ผ้ายันต์หัวใจพญาครุฑหนุนดวงพิชัย สงคราม
มาจากตำราพิชัยสงครามต้นยุครัตนโกสินทร์ และตำราพระราชพิธีนครฐ ที่ใช้ในการสร้างเมือง มีพุทธคุณปัดเป่าทุกข์ภัย เช่นตำนานที่ว่าเมื่อสร้างแล้วเกิดฝนตก 3 วัน 3 คืน ทำให้ข้าศึกถอยทัพไปโดยไม่ต้องรบ
มีลักษณะเป็นดวงมาตรฐานทางโหราศาสตร์ 8 รูปดวง โดยมีหัวใจพญาครุฑ (ซื่อสัตย์ กตัญญู ความดี) อยู่ด้านใน คุณธรรมจะหนุนดวงให้เจริญรุ่งเรือง สร้างจำนวนจำกัดเพียง 1,111 ผืน ผ่านพิธีอธิษฐานจิตที่พระราชวังจันทร จ.พิษณุโลก และพิธีที่สุโขทัย
เริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
- โปสเตอร์หัวใจพญาครุฑ
เป็นของที่ระลึกสำหรับผู้เยี่ยมชมทั่วไปที่ตอบแบบสอบถาม สร้างจำนวนจำกัดไม่ถึง 1,000 ฉบับ และผ่านพิธีเช่นกัน
……………………….
พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดทุกวันศุกร์และเสาร์ วันละ 3 รอบ เวลา 10.00 / 13.00 / 15.00 น. พร้อมผู้นำชม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้เข้าชมต้องจองคิวเข้าชมผ่านทางออนไลน์ ผ่าน QR code หรือที่ www.ttbfoundation.org/th/garudamuseum เพื่อระบุรอบในการเข้าชมล่วงหน้า (จำกัดผู้เข้าร่วมชมรอบละ 25 ท่าน)
และสามารถแจ้งความประสงค์เพื่อใช้บริการรถตู้ โดยจะมีบริการรรับ-ส่งผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ครุฑจากสถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส สถานีเคหะสมุทรปราการ ถึง พิพิธภัณฑ์ครุฑ ทุกวันศุกร์ และ วันเสาร์ วันละ 3 รอบ
Cr. Kanok Shokjaratkul
เข้าชม Garuda Virtual Tour ได้ที่ www.ttbfoundation.org/th/garudamuseum/
สถานที่ตั้ง อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซอย 9A จังหวัดสมุทรปราการ (ใกล้บางปู กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต) โทร. 098 882 3900 วันอังคาร ถึง วันเสาร์ เวลา 9.00 – 16.00 น.