โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

จับตากัมพูชา! ปิดดีลฝ่าภาษีทรัมป์ 49% เตรียมแถลงร่วมสหรัฐฯ เร็วๆ นี้

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ในวันนี้ ไม่กี่วันก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมของนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าได้ตกลงร่วมกันใน “กรอบข้อตกลงว่าด้วยการค้าทวิภาคี” ระหว่างสหรัฐฯ-กัมพูชา ซึ่งนับเป็นพัฒนาการสำคัญท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ถาโถมต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาตลาดอเมริกาอย่างสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ระหว่างรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล กับซาราห์ เอลลอร์แมน ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก โดยแถลงการณ์ระบุว่า “ทั้งสองฝ่ายได้ทบทวนและเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบข้อตกลงการค้าทวิภาคี ซึ่งจะเผยแพร่สู่สาธารณชนเร็วๆ นี้” พร้อมย้ำว่า รัฐบาลสมเด็จฮุน มาเนต “จะเดินหน้าร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน”

ความคืบหน้าครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยกัมพูชาถูกเก็บภาษีสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนถึง 49% ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้คณะกรรมการพัฒนาแห่งชาติกัมพูชา (CDC) และกระทรวงพาณิชย์ ต้องเร่งเปิดเจรจากับสหรัฐฯ ทั้งสิ้น 3 รอบ โดยรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน

แม้จะมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แต่รายงานเกี่ยวกับสาระสำคัญของการเจรจากลับยังคลุมเครือ แตกต่างจากกรณีของเวียดนามและอินโดนีเซียที่ได้รับความสนใจจากสื่อและนักวิเคราะห์มากกว่า อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีจันทอลเปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นเอกสารจำนวนมากให้กับทางการสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอเรื่องอัตราภาษี เงื่อนไขการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการส่งออก และกรอบโครงสร้างภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เข้าสู่กัมพูชา

ความท้าทายของกัมพูชาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เพราะประเทศมีความพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุดในอาเซียน โดยในปี 2024 กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่า 9.91 พันล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 37% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด และเท่ากับ 24.8% ของ GDP ทั้งประเทศ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประเมินว่าส่งออกจากกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 12.7 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับที่สหรัฐฯ ส่งออกกลับมาเพียง 321.6 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

ตัวเลขในปี 2025 ก็ยังสะท้อนแนวโน้มเดิม โดยระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แล้วกว่า 4.35 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า หากภาษีขาเข้าฉบับ “ทรัมป์สไตล์” ถูกบังคับใช้อย่างถาวร ก็อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมหลักของกัมพูชา โดยเฉพาะภาคการผลิตเสื้อผ้าและรองเท้า

ประเด็นนี้กลายเป็นหัวข้อร้อนในการประชุมเสวนาแรงงานเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานหญิงจำนวนมากที่ทำงานในโรงงานตัดเย็บเปิดเผยความวิตกกังวลว่าจะตกงานหากคำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐฯ ลดลง

รายงานระบุว่า ปีที่ผ่านมา กัมพูชามีโรงงานและสถานประกอบการรวม 1,555 แห่ง จ้างงานรวมเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจากชนบท หากเกิดการเลิกจ้างครั้งใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้า อาจนำไปสู่วิกฤตทางสังคมและการเมืองตามมา

แต่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ กัมพูชากลับเผชิญแรงเสียดทานที่อาจบ่อนทำลายโอกาสในการต่อรอง เพราะสหรัฐฯ มีความวิตกต่อบทบาทของจีนในประเทศมากขึ้น ตั้งแต่ยุครัฐบาลทรัมป์แรก โดยเฉพาะการปรับปรุงฐานทัพเรือเรียมที่สหรัฐฯ มองว่าอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีนในภูมิภาค ขณะเดียวกัน รายงานจาก Amnesty International เมื่อสัปดาห์ก่อน ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลกัมพูชามีส่วนรู้เห็นกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ข้ามชาติ ที่มีกลุ่มอาชญากรรมจีนอยู่เบื้องหลัง และสร้างความเสียหายให้กับเหยื่อทั่วโลก รวมถึงชาวอเมริกัน แม้รัฐบาลกัมพูชาจะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้วก็ตาม

ทั้งหมดนี้ทำให้ตำแหน่งการต่อรองของกัมพูชาในสายตาวอชิงตันตกเป็นรอง เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามที่แม้จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 46% เช่นกัน แต่กลับสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าใหม่กับสหรัฐฯ ได้ พร้อมกับสถานะที่เติบโตเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยถึงแม้เวียดนามยังคงต้องเผชิญภาษี 20% ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ ก็ยากที่กัมพูชาจะได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า หากไม่ยอมอ่อนข้อในประเด็นอื่นๆ ที่สหรัฐฯ กำลังจับตา

คำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อ Fox News เมื่อสัปดาห์นี้อาจสรุปภาพรวมได้ชัดเจนที่สุดว่า “เราจะดูว่าประเทศนั้นปฏิบัติต่อเราอย่างไร ดีหรือไม่ดี บางประเทศเราไม่แคร์ด้วยซ้ำ เราก็แค่เก็บภาษีให้หนักไว้ก่อน” ท่าทีเช่นนี้อาจเป็นตัวเร่งให้กัมพูชาต้องรีบหาทางลงของข้อตกลงให้เร็วที่สุด ก่อนที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะขยายวงไปไกลกว่าตลาดแรงงาน และกลายเป็นชนวนความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครคาดเดาได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

เที่ยวไทยคนละครึ่ง พ่นพิษ ใบหยกสกายหยุดสำรองจองห้องพักชั่วคราว

53 นาทีที่แล้ว

vivo เปิดตัว X200 FE สมาร์ทโฟนเรือธง เคาะขายเริ่มต้น 24,999 บาท

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ค่าเงินบาทปิดตลาดวันที่ 4ก.ค.ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กรมอุตุฯประกาศฉบับ 2 พายุดีเปรสชัน ทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความต่างประเทศอื่นๆ

อุทาหรณ์! แม่ผู้สูญเสียเตือนภัย หลังลูกชายวัย 14 ปีปลิดชีพตัวเองเพราะโดนแบล็คเมล์ผ่านแอป

เดลินิวส์

รัสเซียส่งโดรน 550 ลำโจมตีเคียฟ “มากทุบสถิติ” ยูเครนเผยสอยร่วงเกือบ 480 ลำ!

Khaosod

จีนเผชิญภาวะมะเร็งในผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ภาครัฐยกระดับการดูแล

เดลินิวส์

วัยรุ่นออสเตรเลีย ดับสลด กระโดดลังกาหลังฉลอง พลาดท่าหัวฟาดพื้น

Thaiger

‘รัสเซีย’ เซ็นรับรอง ‘ตาลีบัน’ อย่างเป็นทางการ ชาติแรกของโลกที่ยอมรับรัฐบาลอัฟกันฯ ยุคใหม่

THE STATES TIMES

เกาหลีใต้แก้เนื้อหากฎอัยการศึก ห้ามทหาร-ตำรวจเข้าสภาโดยพลการ

เดลินิวส์

หนุ่มร่างใหญ่เผยประสบการณ์สุดระทึก โดนดูดลงท่อระบายน้ำยาวกว่า 150 เมตรระหว่างลุยน้ำท่วม

เดลินิวส์

เมียนมาปลด “ทหารเด็ก” 93 คน หลังยูเอ็นแฉปมเกณฑ์ผู้เยาว์กว่า 480 คนร่วมทัพ

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...