จับตากัมพูชา! ปิดดีลฝ่าภาษีทรัมป์ 49% เตรียมแถลงร่วมสหรัฐฯ เร็วๆ นี้
รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ในวันนี้ ไม่กี่วันก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมของนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าได้ตกลงร่วมกันใน “กรอบข้อตกลงว่าด้วยการค้าทวิภาคี” ระหว่างสหรัฐฯ-กัมพูชา ซึ่งนับเป็นพัฒนาการสำคัญท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ถาโถมต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาตลาดอเมริกาอย่างสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ระหว่างรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล กับซาราห์ เอลลอร์แมน ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก โดยแถลงการณ์ระบุว่า “ทั้งสองฝ่ายได้ทบทวนและเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบข้อตกลงการค้าทวิภาคี ซึ่งจะเผยแพร่สู่สาธารณชนเร็วๆ นี้” พร้อมย้ำว่า รัฐบาลสมเด็จฮุน มาเนต “จะเดินหน้าร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน”
ความคืบหน้าครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยกัมพูชาถูกเก็บภาษีสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนถึง 49% ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้คณะกรรมการพัฒนาแห่งชาติกัมพูชา (CDC) และกระทรวงพาณิชย์ ต้องเร่งเปิดเจรจากับสหรัฐฯ ทั้งสิ้น 3 รอบ โดยรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน
แม้จะมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แต่รายงานเกี่ยวกับสาระสำคัญของการเจรจากลับยังคลุมเครือ แตกต่างจากกรณีของเวียดนามและอินโดนีเซียที่ได้รับความสนใจจากสื่อและนักวิเคราะห์มากกว่า อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีจันทอลเปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นเอกสารจำนวนมากให้กับทางการสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอเรื่องอัตราภาษี เงื่อนไขการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการส่งออก และกรอบโครงสร้างภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เข้าสู่กัมพูชา
ความท้าทายของกัมพูชาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เพราะประเทศมีความพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุดในอาเซียน โดยในปี 2024 กัมพูชาส่งออกสินค้ามูลค่า 9.91 พันล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 37% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด และเท่ากับ 24.8% ของ GDP ทั้งประเทศ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประเมินว่าส่งออกจากกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 12.7 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับที่สหรัฐฯ ส่งออกกลับมาเพียง 321.6 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ตัวเลขในปี 2025 ก็ยังสะท้อนแนวโน้มเดิม โดยระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แล้วกว่า 4.35 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า หากภาษีขาเข้าฉบับ “ทรัมป์สไตล์” ถูกบังคับใช้อย่างถาวร ก็อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมหลักของกัมพูชา โดยเฉพาะภาคการผลิตเสื้อผ้าและรองเท้า
ประเด็นนี้กลายเป็นหัวข้อร้อนในการประชุมเสวนาแรงงานเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานหญิงจำนวนมากที่ทำงานในโรงงานตัดเย็บเปิดเผยความวิตกกังวลว่าจะตกงานหากคำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐฯ ลดลง
รายงานระบุว่า ปีที่ผ่านมา กัมพูชามีโรงงานและสถานประกอบการรวม 1,555 แห่ง จ้างงานรวมเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจากชนบท หากเกิดการเลิกจ้างครั้งใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้า อาจนำไปสู่วิกฤตทางสังคมและการเมืองตามมา
แต่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ กัมพูชากลับเผชิญแรงเสียดทานที่อาจบ่อนทำลายโอกาสในการต่อรอง เพราะสหรัฐฯ มีความวิตกต่อบทบาทของจีนในประเทศมากขึ้น ตั้งแต่ยุครัฐบาลทรัมป์แรก โดยเฉพาะการปรับปรุงฐานทัพเรือเรียมที่สหรัฐฯ มองว่าอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีนในภูมิภาค ขณะเดียวกัน รายงานจาก Amnesty International เมื่อสัปดาห์ก่อน ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลกัมพูชามีส่วนรู้เห็นกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ข้ามชาติ ที่มีกลุ่มอาชญากรรมจีนอยู่เบื้องหลัง และสร้างความเสียหายให้กับเหยื่อทั่วโลก รวมถึงชาวอเมริกัน แม้รัฐบาลกัมพูชาจะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้วก็ตาม
ทั้งหมดนี้ทำให้ตำแหน่งการต่อรองของกัมพูชาในสายตาวอชิงตันตกเป็นรอง เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามที่แม้จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 46% เช่นกัน แต่กลับสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าใหม่กับสหรัฐฯ ได้ พร้อมกับสถานะที่เติบโตเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยถึงแม้เวียดนามยังคงต้องเผชิญภาษี 20% ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ ก็ยากที่กัมพูชาจะได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า หากไม่ยอมอ่อนข้อในประเด็นอื่นๆ ที่สหรัฐฯ กำลังจับตา
คำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อ Fox News เมื่อสัปดาห์นี้อาจสรุปภาพรวมได้ชัดเจนที่สุดว่า “เราจะดูว่าประเทศนั้นปฏิบัติต่อเราอย่างไร ดีหรือไม่ดี บางประเทศเราไม่แคร์ด้วยซ้ำ เราก็แค่เก็บภาษีให้หนักไว้ก่อน” ท่าทีเช่นนี้อาจเป็นตัวเร่งให้กัมพูชาต้องรีบหาทางลงของข้อตกลงให้เร็วที่สุด ก่อนที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะขยายวงไปไกลกว่าตลาดแรงงาน และกลายเป็นชนวนความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครคาดเดาได้