กัมพูชา ดาร์ลิ่ง ออฟ เอเชีย
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : เมตตา ทับทิม
เมาท์มอยนอกสนามการเมืองระดับชาติระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา
เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
จำได้ว่าสมัยสาว ๆ เป็นกระจิบข่าวสายวัสดุก่อสร้าง-ปูนซีเมนต์ ได้มีโอกาสร่วมทริปดูงานการลงทุนของ SCG ในกัมพูชา คาดว่าน่าจะเป็นช่วงปี 2550 ต้น ๆ กลาง ๆ หรือไม่ต่ำกว่า 15 ปีขึ้นไป
ผู้บริหารสูงสุดของ SCG ในทริปนั้นที่ได้เจอ คือ “คุณอารีย์ ชวลิตชีวินกุล” ตำแหน่งเป็นเฮดที่คุมธุรกิจโซน CLMV ย่อมาจาก แคมโบเดีย ลาว เมียนมา และเวียดนาม หน้าพี่อารีย์ตอนนั้นเด็กมาก คือจะบอกว่า ถ้า SCG ทำเครื่องสำอาง ก็ไม่ต้องจ้างใครเลย พี่อารีย์นี่แหละ เป็นพรีเซ็นเตอร์ได้เลย
คำพูดเปิดฟลอร์ Introduction เหตุผลที่ SCG เข้ามาลงทุนเปิดโรงงานปูนใน CLMV หลัก ๆ คือดีมานด์ถึงจุดหนึ่งที่การขนส่งจากไทยไม่คุ้ม แม้จะมีพรมแดนติดเป็นรั้วเดียวกันก็ตาม เหตุผลที่เหลือก็บลา ๆๆๆ
แต่ไฮไลต์ที่สะดุดหูและจำมาถึงวันนี้เพราะเปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา ก็คือข้อมูลที่บอกว่า ในตลาดการลงทุนระดับนานาชาติ โฟกัสการลงทุนประเทศในเอเชีย ทั่วโลกมองกัมพูชา ณ ขณะนั้น เป็นประเทศที่น่าสนใจ และน่าลงทุนฝุด ๆ ดังนั้น โลกจึงได้มอบฉายาให้กับกัมพูชา ว่า Darling of ASIA
เหตุผลเพราะ Darling of ASIA ประเทศนี้ ถึงพร้อมทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ ถึงพร้อมทั้งด้านประชากรศาสตร์ ที่คนกัมพูชาเป็นคนรุ่นใหม่มากกว่าคนรุ่นแก่และเตรียมแก่ ถึงพร้อมทั้งด้านต้นทุน จากค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นจุดแข็งและเป็นจุดขายอย่างชัดแจ้ง ถึงพร้อมทั้งด้านดีมานด์ เพราะละจากสงครามมาได้ก็คือความพยายามสร้างบ้านแปงเมืองขนานใหญ่ มีโปรเจ็กต์ก่อสร้างเกิดขึ้นอย่างมากมาย แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างชาติ
การเมืองภายในกัมพูชาก็เป็นแบบเดียวกับประเทศระบอบสังคมนิยมทั่วไป รัฐบาลหรือผู้นำประเทศมีเสถียรภาพไร้ข้อกังขา จำได้ว่าคนกัมพูชาที่มาต้อนรับ ทั้งไกด์และทีมงาน มีมุมมองเดียวกัน คือฝากความหวังประเทศไว้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังเติบโตเบ่งบานด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ
ต่อจิ๊กซอว์กัมพูชาที่ข้าพเจ้าเคยไปย่ำดินแดนอีกสักเรื่อง หลังการเซ็นสัญญาสงบศึก 4 ฝ่าย วงเล็บไว้ก็ได้ว่า เกิดขึ้นในปี 2534 (ปีเดียวกันนั้นเอง ต้นปีไทยมีรัฐประหารได้รัฐบาล รสช. ปลายปีกัมพูชาได้สันติภาพการเมืองภายใน) โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างมากขึ้น อยู่ที่ใครใคร่ค้าก็ไปค้า ใครใคร่ขายก็ไปขาย
เคยร่วมทริปนั่งรถตู้จากชายแดนอรัญประเทศฝั่งไทย ชายแดนปอยเปตฝั่งกัมพูชา วิ่งทะลุเข้าเมืองเสียมเรียบบ่ายหน้าสู่เมืองหลวงกรุงพนมเปญ ระยะทางจริง ๆ 200 กิโลเมตรบวกลบ แต่ได้ประสบการณ์ผจญภัยแบบกลัว ๆ ขำ ๆ ขับรถกันครึ่งค่อนวัน
อินฟราสตรักเจอร์คงไม่ต้องพูดถึง ถนนลาดยางมะตอยถ้ามี คือถือว่าเป็นถนนเส้นหลัก ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกรัง มีบ่อมีหลุมมีทางน้ำขวางเป็นระยะ เกือบร้อยทั้งร้อยสะพานข้ามคูคลองหรือข้ามหลุมบ่อจะเป็นสะพานไม้ ตีตอกแบบเรียงไม้แผ่นเป็นตับ ๆ พยายามเขียนให้เห็นภาพว่าสามารถงัดตะปูและดึงแผ่นไม้ออกได้ ทำให้สะพานแหว่ง ตอนเจอสะพานแหว่งครั้งแรก นั่งตกใจเหงื่อแตกพลั่ก ๆ อยู่บนรถ
ปรากฏว่าเจ้าภาพคนไทย บอกว่ารอเดี๋ยว กระโดดลงจากรถเดินเข้าไปชี้มือชี้ไม้ ควักกระเป๋าจ่ายเงิน แป๊บเดียว แผ่นไม้ที่แหว่งก็ถูกนำมาวางเรียงคืนดังเดิม ให้รถวิ่งสัญจรข้ามสะพานไปได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้รับคำอธิบายว่า อ๋อ คนกัมพูชาเขาจับแผ่นไม้สะพานไปเรียกค่าไถ่ ไม่มีอะไร ๆ โห งานนี้อย่างฮา มองในมุมทุนมนุษย์ ต้องบอกว่าคนของเขามีนวัตกรรมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น คิดได้ไง ยึดแผ่นไม้สะพานเรียกค่าไถ่
พูดไปพูดมา บรรทัดสุดท้ายได้แต่รำพึงรำพัน กัมพูชายังจะเป็น ดาร์ลิ่ง ออฟ เอเชีย อยู่หรือไม่
ยุคสมัยปี 2568 ไทย-กัมพูชา เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กัมพูชา ดาร์ลิ่ง ออฟ เอเชีย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net