ยื่นหนังสือเรียกร้องยกเลิก MOU 43-44 ต้นตอพิพาทเขตแดน
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 21 สิงหาคม 2568 เวลา 21.37 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทรัฐสภา 21 ส.ค.- คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ยื่นหนังสือเรียกร้องสภา พิจารณายกเลิก MOU ปี 2543 และ 2544 ชี้เป็นต้นตอข้อพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชา ด้านรองประธานสภา ย้ำ เป็นอำนาจสมาชิก พร้อมยินดีอำนวยความสะดวก ขณะที่เลขาพรรคภูมิใจไทย ชื่นชมความสามัคคีของคนไทยจากเหตุชายแดน ส่วนตัวแทนพรรคประชาชนถูกโห่ไล่ แต่ยังใจสู้ ย้ำจะพิสูจน์ความจริงใจด้วยการทำงาน
คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม นายแก้วสรร อติโพธิ นายพิชิต ไชยมงคล พร้อมด้วยมวลชน รวมตัวชุมนุมบริเวณลานประชาชน ด้านหน้ารัฐสภา เพื่อติดตามญัตติด่วนในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกี่ยวข้องกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นต้นตอของปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชา
โดยมี นายไชยา พรหมา และนายฉลาด ขามช่วงล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และคนที่ 2 และตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย มารับหนังสือ
โดยนายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภา คนที่หนึ่ง กล่าวว่าสถานที่แห่งนี้คือลานประชาชน ดังนั้นหากผู้ชุมนุมไม่ได้รับความสะดวกจากที่ไหน ขอให้มาใช้ลานประชาชนแห่งนี้ เนื่องจากถูกสร้างมาจากภาษีประชาชน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการรับหนังสือ จะดำเนินการต่อ ในฐานะคนกลางผู้ประสานงานเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในสภา พร้อมประสานงาน สส. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการ เช่น การอภิปราย ส่วนหากบรรจุเป็นญัตติแล้วจะต้องพิจารณาเป็นเรื่องลับหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสมาชิก ย้ำว่า ประธานทำหน้าที่เพียงควบคุมการประชุม ส่วนจะดำเนินการอย่างไร ขึ้นอยู่กับญัตติที่สมาชิกเสนอ
จากนั้นพรรคภูมิใจไทย นำโดยนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคได้ขึ้นเวทีรับหนังสือ นายไชยชนก กล่าวว่า ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ตนมีความกังวลเรื่องวิกฤตต่างๆ ที่ประเทศเรากำลังเผชิญ ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติและความมั่นคงและวิกฤตทางการเมือง แต่อีกสิ่งที่ได้เห็นและอยากบอกเพื่อเตือนสติให้เป็นขวัญและกำลังใจว่า ภายใต้มรสุมวิกฤติเหล่านี้ ไม่เคยเห็นประชาชนคนไทยมีความสามัคคีและมีความคิดเห็นความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกันขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่ากระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทิศทางไหนและผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขอให้ทุกคนยึดมั่นเข้มแข็งและมีความสามัคคีแบบนี้ต่อไป เพราะตนเชื่อว่า ไม่ว่าจะเจอวิกฤตอะไรก็ตาม ตราบใดที่เราสามัคคีกันและมีเป้าหมาย เพื่อประชาธิปไตย ประเทศ เราจะผ่านพ้นไปได้ทุกวิกฤต และคว้าได้ทุกโอกาส
ดังนั้นเรื่อง MOU นี้จะเป็นเพียงหนึ่งเรื่อง แต่หลังจากนี้หวังว่าคนไทยจะสามัคคีและร่วมพลังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และเชื่อมั่นว่าประเทศไทย จะสามารถพัฒนา จะมีอนาคตต่อไปอย่างแน่นอน
จากนั้น นายไชยชนก อ่านแถลงการณ์ของพรรคภูมิใจไทย ว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีการหยิบยกข้อมูลที่เกี่ยวเนื่อง จาก MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ระหว่างไทยกับกัมพูชา มากล่าวถึงมากยิ่งขึ้นนับแต่มีการปะทะกัน และพบการเปิดเผยข้อมูลจากทางการไทย ว่าทางฝั่งกัมพูขาได้ละเมิด MOU มากกว่า 600 ครั้ง
พรรคภูมิใจไทย ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ถึงแม้ในห้วงเวลาดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมแรง ร่วมใจ ช่วยดูแลพี่น้องประชาชน ตามศูนย์อพยพใน 4 จังหวัด (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี) มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังติดตามสถานการณ์ในประเด็นดังกล่าวอยู่โดยตลอด โดยฝ่ายที่ต้องการ
ยกเลิกมองว่า MOU ทั้งสองฉบับส่งผลกระทบต่อเขตแดน และปัจจุบัน ไทยกำลังเผชิญการรุกล้ำดินแดนแดนอย่างชัดเจน ขณะที่ฝ่ายที่ต้องการคงไว้ให้เหตุผลว่าจำเป็นเพื่อรักษา ช่องทางการเจรจาระหว่างประเทศ โดยที่ MOU ปี 2543 เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำ หลักเขตแดนทางบก ซึ่งเป็นพื้นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชายังมีข้อพิพาทคาราคาชัง ส่วน MOU ปี 2544 เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตทางทะเลที่อุดมด้วยทรัพยากรมหาศาล โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ
พรรคภูมิใจไทย เห็นว่า หากแม้ในอนาคตจะยกเลิก MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ไทย และกัมพูชา ก็สามารถเจรจาทวิภาคีกันได้ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ เหมาะสมที่สุดที่สภาผู้แทนราษฎรควรหยิบประเด็น MOU 43 และ 44 มาพิจารณาเพื่อนำไปสู่การยกเลิก
โดยทางพรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการยกเลิกที่ส่งผลกระทบน้อยที่สุด เมื่อกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นมา พิจารณามีข้อมูลครบถ้วนแล้ว เพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน และขั้นตอนสุดท้าย ควรฟังเสียงประชาชน โดยการจัดทำประชามติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและได้รับการยอมรับจากสังคมทั้งประเทศ
พรรคภูมิใจไทย ขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง พิจารณาสนับสนุนแนวทางการดำเนินการนี้ เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรื่องของชาติบ้านเมือง อยู่เหนือการเมืองระหว่างพรรค อยู่เหนือการเมืองในประเทศ เรื่องของชาติบ้านเมืองคือการรวมใจ รักษาชาติสืบไป
จากนั้น นายรังสิมันต์ โรม หัวหน้าพรรคประชาชนได้ขึ้นเวที เพื่อรับหนังสือ กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาชน และ ตัวแทนพรรค เรามีความปรารถนาดีและอยากเห็นประเทศไทยทำทุกวิถีทางในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ในระหว่างที่ นายรังสิมันต์ พูดบนเวที กลุ่มมวลชนได้มีการตะโกนโห่ไล่ แสดงความไม่พอใจ พร้อมบอกว่า ไม่เอาพรรคประชาชน
จนนายแก้วสรร ได้พูดแทรกขึ้นว่า ขอให้หยุดโห่ “เขาให้เกียรติเรา เราก็ต้องให้เกียรติเขา” ผู้ชุมนุมบางส่วนถึงหยุดโห่
จากนั้น นายรังสิมันต์ ได้พูดต่อ ว่า การกระทำและเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของพรรคประชาชนที่ปรารถนาดีต่อประเทศชาติ แม้ประชาชนจะไม่เชื่อ แต่ก็พร้อมน้อมรับในฐานะตัวแทนประชาชน ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก็จะใช้การทำงานเป็นเครื่องพิสูจน์ในการเอาชนะจิตใจของพวกท่านให้ได้ ยืนยัน เรื่องการทำงานพรรคประชาชนไม่เคยทุจริต ดังนั้น จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ พร้อมให้คำสัญญาว่าจะยื้อเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และดำเนินการเรื่องดังกล่าวในขั้นตอนของสภาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการขึ้นพูดบนเวทีของนายรังสิมันต์ ยังคงมีผู้ชุมนุมบางส่วนตะโกนโห่ไล่ เป็นระยะจนนายรังสิมันต์พูดจบ.-315 -สำนักข่าวไทย