TNA News-Now-Next: เบื้องลึก-เบื้องหลังทรัมป์ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไปวอชิงตัน ดีซี
วอชิงตัน 13 ส.ค.- ว่ากันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการส่งกำลังทหารเข้าประจำการบนผืนแผ่นดินสหรัฐฯ มานานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา กำลังหาทางและโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะทำเช่นนั้น
จนเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา เขาได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความปลอดภัยสาธารณะ พร้อมสั่งประจำการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ หรือ National Guard จำนวน 800 นายในกรุงวอชิงตัน ดีซี และควบคุมสำนักตำรวจของกรุงวอชิงตัน ดีซี ให้มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลาง อาศัยอำนาจตามกฏหมายปกครองตนเองของเขตปกครองโคลัมเบีย เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น “คลื่นแห่งความไร้กฎหมาย” และว่าในตอนนี้ กรุงวอชิงตัน ดีซี กำลังถูกยึดครองโดย “กลุ่มอาชญากรที่ก่อความรุนแรงและกระหายเลือด” ถือเป็นอีกครั้ง ที่ทรัมป์ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไปประจำการบนดินแดนของสหรัฐฯเอง หลังจากเคยส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 2,000 นาย ไปช่วยควบคุมการชุมนุมประท้วงและเหตุความไม่สงบที่เป็นผลจากการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฏหมาย ที่เทศมณฑลลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ทรัมป์อ้างว่า ปัญหาอาชญากรรมในกรุงวอชิงตัน ดีซี ถือว่ารุนแรงและน่าเป็นห่วงจนหยุดไม่อยู่ แม้จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี จะชี้ว่า สถิติอาชญากรรมรุนแรงในพื้นที่ลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงปี 2023 ที่คดีอาชญากรรมกระโดดพุ่งขึ้น ส่วนปีนี้ คดีอาชญากรรมรุนแรงลดลงถึงร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปี 2024 ที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี และที่แน่ ๆ คือต่ำที่สุดในรอบ 6 ปีหลัง หรือในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของทรัมป์ด้วยซ้ำ
แม้จะไม่ได้หมายความว่า กรุงวอชิงตัน ดีซี ปลอดภัยจากคดีอาชญากรรมรุนแรง หรือน่ากลัวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ แต่หมายความว่า สถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอยและดีขึ้นมาก โดยที่ไม่มีต้องการหน่วยงานของรัฐบาลกลางมาแทรกแซง
รู้จักกฎหมาย Home Rule Actปี 1973 และกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ
การที่ทรัมป์นำตำรวจของกรุงวอชิงตัน ดีซี มาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลางนั้น อ้างอำนาจตามมาตรา 740 ของกฎหมาย Home Rule Act ปี 1973 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าแก่ที่จัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่นของวอชิงตัน ดีซี อันเป็นเขตปกครองพิเศษที่ไม่ได้เป็นเหมือนรัฐทั้ง 50 รัฐที่อยู่ภายใต้รัฐบาลกลาง ที่ให้อำนาจปกครองตนเองในระดับหนึ่ง มาตรา 740 ดังกล่าว ให้อำนาจประธานาธิบดีสั่งให้นายกเทศมนตรีของเขต ซึ่งปัจจุบันคือนาง มิวเรียล บาวเซอร์ เป็นนายกเทศมนตรี ส่งมอบอำนาจควบคุมกรมตำรวจนครบาลชั่วคราว หากประธานาธิบดีเห็นว่ามี “สถานการณ์ฉุกเฉินพิเศษ” เกิดขึ้น อำนาจควบคุมฉุกเฉินนี้มีกำหนดสิ้นสุดภายในสูงสุด 30 วัน เว้นแต่สภาคองเกรสจะออกกฎหมายอนุญาตให้ขยายเวลาได้ ขณะที่ทรัมป์ประกาศว่า เขาตั้งใจที่จะขยายเวลาการเข้าควบคุมของรัฐบาลกลางตามมาตรา 740 ของกฎหมาย Home Rule Act ออกไปเกินกว่าช่วงเวลา 48 ชั่วโมงแรก และจะแจ้งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบอย่างเป็นทางการ เป็นไปได้ว่าอาจขยายเวลาได้สูงสุดถึง 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด
ทรัมป์เคยขู่ที่จะออกคำสั่งนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2020 ช่วงที่เกิดการเดินขบวนประท้วงของผู้คนทั่วสหรัฐฯ จากกรณี จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำถูกตำรวจผิวขาวสังหารระหว่างควบคุมตัว แต่ก็ไม่ทันได้ออกคำสั่ง จนมาประสบความสำเร็จเอาในสมัยที่สองของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์มองเห็นลู่ทางที่จะใช้ประโยชน์จาก “อำนาจประธานาธิบดีและอำนาจส่วนกลาง” เข้ามาจัดการสิ่งที่เขาเห็นว่า เป็น “ปัญหาความวุ่นวายในประเทศ”
อย่างกรณีสั่งการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิลงพื้นที่ ทั้งในลอสแอนเจลิสเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และในกรุงวอชิงตัน ดีซี รอบนี้ โดยปกติแล้ว กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของแต่ละรัฐจะอยู่ภายใต้การบัญชาการของผู้ว่าการรัฐนั้น ๆ ยกเว้น กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของกรุงวอชิงตัน ดีซี ที่ถูกโอนเข้าสังกัดรัฐบาลกลางจะอยู่ภายใต้การควบคุมของประธานาธิบดีโดยตรงเสมอ แม้ปกติแล้ว กฎหมายที่เรียกว่า Posse Comitatus Act ซึ่งห้ามไม่ให้ทหารภายใต้การบัญชาการของรัฐบาลกลาง รวมถึงกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิที่ถูกโอนสังกัดแล้ว ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่เรียกว่า Insurrection Act ซึ่งมอบอำนาจให้ประธานาธิบดีสามารถใช้กองกำลังทหาร รวมถึงกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิที่ถูกโอนสังกัดแล้ว เข้าไปทำหน้าที่รักษากฎหมายในประเทศได้ หากประธานาธิบดีเห็นว่า มีความวุ่นวายหรือการกบฏที่ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ตามปกติ
กฎหมายนี้เคยถูกใช้มาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เช่น ในสมัยประธานาธิบดีดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ ใช้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเพื่อบังคับใช้การเลิกการแบ่งแยกสีผิวในโรงเรียน ที่เมืองลิตเติลร็อก รัฐอาร์คันซอ ในปี 1957 และถูกใช้ครั้งล่าสุดในปี 1992 ในช่วงเหตุจลาจลที่ลอสแอนเจลิสหลังจากกรณีตำรวจทำร้ายร่างกาย ร็อดนีย์ คิง ชายผิวดำ
หลังสงครามเวียดนาม กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิถูกปฏิรูปผ่านนโยบาย Total Force ในปี 1973 ทำให้เป็นกำลังสำคัญของกองทัพสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่ร้อยละ 40 ของทหารในอิรักและอัฟกานิสถานมาจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ อย่างไรก็ตาม การใช้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิในประเทศ โดยเฉพาะการคุมประท้วง กลับสร้างความกังวล เนื่องจากกฎหมาย Posse Comitatus Act ห้ามทหารรัฐบาลกลาง รวมถึงกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิที่ถูกโอนจากรัฐ ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เว้นแต่จะใช้กฎหมาย Insurrection Act 1807 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีส่งทหารปราบจลาจลหรือกบฏ
หลายฝ่ายมองว่า สถานการณ์ความวุ่นวายทั้งการประท้วงในลอสแอนเจลิสเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และปัญหาอาชญากรรมในกรุงวอชิงตัน ดีซี ยังห่างไกลจากสิ่งที่ทรัมป์อ้างว่าเป็นเหตุจลาจล หรือภัยคุกคามร้ายแรง ที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานท้องถิ่นไม่อาจรับมือได้จนต้องมีกองกำลังจากรัฐบาลกลางมาดูแล
แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะคำสั่งของทรัมป์ไม่ได้มาจากการร้องขอของผู้ว่าการรัฐ ตำรวจในพื้นที่ หรือเป็นไปตามเสียงเรียกร้องของชาวอเมริกันทั่วไป แต่มาจากความต้องการส่วนตัวของทรัมป์ล้วน ๆ เป็นที่สังเกตด้วยว่า ตอนเกิดเหตุประท้วงใหญ่ในลอสแอนเจลิสเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่เพียงสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิลงพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสั่งให้ส่งนาวิกโยธินอีกกว่า 800 นายเข้าประจำการด้วย แม้ภารกิจหลักของนาวิกโยธินจะมีเพียงแค่ปกป้องและดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินของรัฐบาลในพื้นที่ แต่มันก็สะท้อนภาพของการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามเหตุความวุ่นวาย แทนที่จะเป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่
Final Thoughts: ทรัมป์อาจไม่หยุดแค่ วอชิงตัน ดีซี?
เหนือสิ่งอื่นใด ความเคลื่อนไหวของทรัมป์รอบนี้ สะท้อนที่สิ่งที่เขาตั้งใจดำเนินการมาโดยตลอด เกี่ยวกับมาตรการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมและสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วอเมริกาที่เขามองว่า หลายต่อหลายครั้ง เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นไม่สามารถรับมือและดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ โดยเฉพาะพื้นที่ปกครองท้องถิ่นที่ฝ่ายพรรคเดโมแครตครอบครองตำแหน่งบริหารอยู่ ทรัมป์จึงเล็งเห็นการใช้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิและเจ้าหน้าที่หน่วยอื่น ๆ จากส่วนกลาง เข้ามาจัดการแทน ดังจะเห็นได้จากการส่งกองกำลังไปควบคุมการประท้วงในลอสแอนเจลิส รวมถึงขู่ว่า จะทำเช่นเดียวกันนี้กับเมืองใหญ่อื่น ๆ อาทิ นิวยอร์ก และชิคาโก หากเขาเห็นว่าผู้นำท้องถิ่นอ่อนแอ ไม่สามารถจัดการปัญหาความวุ่นวายหรือความไม่สงบได้อย่างเป็นรูปธรรม
หลายฝ่ายยังมองว่า ทรัมป์พยายามจะสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้น เพื่อขยายการใช้อำนาจประธานาธิบดี โดยเฉพาะการใช้อำนาจในเมืองและพื้นที่ที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอย่าง กรุงวอชิงตัน ดีซี ก็ถือว่าเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว มีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ แค่ 6% เท่านั้น ส่วนเมืองที่มีปัญหาก่อนหน้านี้อย่างลอสแอนเจลิสและเมืองอื่น ๆ ที่ทรัมป์เอ่ยชื่อว่าจะพุ่งเป้าจัดการ ทั้งนิวยอร์กและชิคาโก ก็ล้วนเป็นเขตอิทธิพลสำคัญของเดโมแครตเช่นกัน
คงเป็นอีกครั้ง ที่ชาวอเมริกันต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนแผ่นดินอเมริกา จากอำนาจล้นเหลือของทรัมป์.-815-.สำนักข่าวไทย
แหล่งข้อมูล
https://edition.cnn.com/2025/08/11/politics/washington-dc-troops-trump
https://www.aljazeera.com/news/2025/8/12/why-is-trump-sending-us-national-guard-to-washington-dc
https://www.nytimes.com/2025/08/11/us/politics/trump-military-washington.html