POP: ถอดรหัส California Dreamin' ใน ‘Chungking Express’ เสียงสะท้อนของความฝัน ความทรงจำ และการเมืองในโลกของหว่อง กาไว
หากจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘Chungking Express’ ผลงานมาสเตอร์พีซของ ‘หว่อง กาไว’ (Wong Kar-Wai) ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงเพลงประกอบอย่าง‘California Dreamin’’ เพราะมันเป็นหนึ่งในเพลงประกอบที่เสริมบรรยากาศและอารมณ์ของหนังได้ดีมากที่สุดเพลงหนึ่ง
แล้วอะไรถึงทำให้ California Dreamin’ ถึงกลายเป็นเพลงไอคอนิกอยู่ในวัฒนธรรมป๊อปจนถึงทุกวันนี้ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะผู้คนยังคงพูดถึง Chungking Express กันเรื่อยๆ อยู่ แต่เบื้องหลังที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงทรงพลังเหนือกาลเวลา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเพลงประกอบที่ชวนจดจำอย่าง ‘California Dreamin'’ เป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่
California Dreamin’ ถูกเขียนขึ้นในปี 1963 ช่วงฤดูหนาวกลางนิวยอร์ก โดย John และ Michelle Phillips สมาชิกวดนตรีโฟล์กร็อกสัญชาติอเมริกัน‘The Mamas & The Papas’
เนื้อหาของเพลงบอกเล่าเรื่องราวเรียบง่ายของการเดินท่ามกลางลมหนาว แล้วแวะเข้าโบสถ์เพื่อแสร้งทำพิธี เพราะต้องการหลบหนาวชั่วคราว ถือเป็นเพลงที่แตกต่างจากเพลงป๊อปทั่วไปที่พูดถึงแคลิฟอร์เนีย คือไม่มีการเอ่ยถึงชายหาด สาวใส่บิกินี หรือรถเปิดประทุนเลย แต่มันเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงและอารมณ์หม่นเศร้า
ใน Chungking Express เพลง California Dreamin’ ทำหน้าที่เป็นจุดเปลี่ยนระหว่างพาร์ตแรกและพาร์ตที่สองของเรื่อง หลังจากที่ตำรวจหมายเลข 223 เอ่ยประโยคสุดท้ายของเขาในเรื่องว่า “ตอนที่ผมใกล้ชิดเธอมากที่สุดเราห่างกันแค่ 0.01 เซนติเมตร ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอ แต่หกชั่วโมงต่อมา เธอก็ไปชอบผู้ชายอีกคน” แล้วหนังก็สับเปลี่ยนไปสู่เรื่องราวของครึ่งหลัง ซึ่งเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฟย์และนายตำรวจหมายเลข 663 แทน
California Dreamin’ ถูกเล่นซ้ำๆ ตลอดครึ่งหลังของภาพยนตร์ ถูกบรรเลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงแปดครั้ง และทำหน้าที่เสมือนหัวใจสำคัญของตัวละคร ‘เฟย์ หว่อง’ เพื่อตอกย้ำภาพของเฟย์ในฐานะคนที่เต็มไปด้วยอุดมคติ เพราะเธอมักคิดถึงสถานที่อื่นๆ ที่อยากไป และชีวิตอีกแบบที่เธออยากใช้
อีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า Chungking Express พยายามถ่ายทอดธีมของ ‘การทำซ้ำ’ อยู่ในตัวมันเอง ผ่านการพบเจอกันครั้งแล้วครั้งเล่าของตัวละคร จากคนแปลกหน้าสู่การรับรู้ตัวตน จนกระทั่งการได้เห็นใบหน้าเดิมซ้ำๆ ผลักดันระดับความสัมพันธ์ไปสู่ความรักในที่สุด การที่บทเพลงถูกเล่นซ้ำอย่างสม่ำเสมอจึงยิ่งขับเน้นให้ประเด็นนี้ของหนังคมชัดขึ้น
เราจะรับรู้ได้ชัดเจนว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เปรียบเสมือนตัวแทนของเฟย์จากท่อนที่ร้องว่า “All the leaves are brown / And the sky is grey… I’d be safe and warm / If I was in L.A.” ที่สื่อถึงความรู้สึกผิดหวัง โดดเดี่ยว และหมดไฟต่อการใช้ชีวิตในฮ่องกงของเธอ ซึ่งนั่นอาจทำให้คนดูคิดว่า หากเฟย์ได้ไปแคลิฟอร์เนีย เธอก็คงจะอยู่ที่นั่นตลอดไป ทว่าความจริงกลับตรงกันข้าม เธอกลับจากแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับนายตำรวจ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเธอรักเขามากกว่าที่รักแคลิฟอร์เนียเสียอีก เพลงนี้จึงอาจสื่อถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้เช่นกัน ที่แม้ทั้งคู่จะต้องเจอกับความโดดเดี่ยวท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ แต่พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัย เสมอเพียงแค่มีกันและกัน
นอกจากนี้ California Dreamin’ ยังสะท้อนให้เห็นว่าเสียงเพลงที่ดังขึ้น สามารถแปรเปลี่ยนสถานะตัวเองจาก ‘เนื้อร้อง’ มาเป็น ‘ความรู้สึก’ มันคืออารมณ์ที่จับต้องได้ และความซ้ำซากของมันก็ช่วยปั้นแต่งบรรยากาศให้เข้มข้นขึ้น จนบทเพลงกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ภาพยนตร์ที่กำลังสื่อสารกับเราโดยตรง ไม่แพ้บทสนทนาของนักแสดง
มีครั้งหนึ่งที่ California Dreamin’ ถูกบรรเลงไปพร้อมกับกบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างเฟย์กับนายตำรวจ 663 ที่เคาน์เตอร์ร้าน Midnight Express ซึ่งในฉากนั้นเฟย์เร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมาก แล้วทั้งคู่ก็ต้องตะโกนคุยกันเพื่อแข่งกับเสียงเพลง จากนั้นเสียงเพลงก็เบาลงตอนที่ตำรวจ 663 ส่งสัญญาณให้เฟย์ฟังออร์เดอร์ที่เขาสั่ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงนี้ไม่ใช่เสียงในฉากเพราะไม่มีใครไปปรับเครื่องเล่นเสียงที่อยู่นอกจอให้เบาลง แต่เป็นการลดเสียงเพื่อสร้างพื้นที่ส่วนตัวทางการได้ยินให้ทั้งคู่ได้ใช้ร่วมกัน ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นหัวใจของการสื่อสารระหว่างพวกเขา และเป็นจุดสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราวและความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต่อไป
ในฉากจบที่ทั้งคู่กลับมาพบกัน California Dreamin’ ก็ยิ่งมีพลังและลึกซึ้งมากขึ้น โดยในหลายฉากก่อนหน้านี้เพลงนี้ถูกใช้เป็นตัวแทนความรู้สึกของเฟย์มาโดยตลอด แต่เมื่อเธอกลับมาที่ร้าน Midnight Express อีกครั้งหลังจากทั้งคู่แยกทางกันไป และพบว่านายตำรวจ 663 กำลังเปิดเพลงนี้อยู่ บทบาทของเพลงก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้ทำหน้าที่แทนความรู้สึกของเฟย์ฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นตัวแทนความรู้สึกของฝ่ายชาย เป็นความทรงจำในรูปแบบของเสียงที่เขามีต่อเธอนั่นเอง
นอกเหนือจากบทบาทในเชิงเนื้อหา เพลงนี้ยังทำงานในเชิงสัญญะอีกด้วย แม้จะไม่มีตัวละครใดกล่าวออกมาตรงๆ แต่วัฒนธรรมตะวันตกได้ปรากฏอยู่รายล้อมพวกเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Coca-Cola, Garfield, Snoopy หรือ Felix the Cat และแน่นอนว่า California Dreamin' ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระแสวัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามานี้
การที่วัฒนธรรมฮ่องกงถูกแทนที่ด้วยบทเพลงและสัญลักษณ์แบบอเมริกัน ได้เพิ่มมิติทางการเมืองให้กับหนังเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นถึงการวิพากษ์จักรวรรดินิยมตะวันตกในมุมมองของผู้กำกับ เพราะในปี 1994 ที่หนังออกฉาย ฮ่องกงยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หว่อง กาไว จึงเปรียบเทียบการยึดครองของอังกฤษเข้ากับการรุกคืบของวัฒนธรรมอเมริกัน และเชื่อมอังกฤษกับอเมริกา ในความคิดของผู้ชมด้วยการแสดงให้เห็นว่าทั้งสองมหาอำนาจมีศักยภาพในการแผ่อิทธิพลอย่างทั่วถึงต่อผู้คนในฮ่องกง
แม้ California Dreamin’ จะเป็นเพลงเก่าตั้งแต่ยุค 60s แต่มันยังคงบันทึกความรู้สึกที่จับต้องได้ และถูกส่งต่อผ่านยุคสมัย กลายเป็นเสียงสะท้อนความทรงจำและอนาคตที่ไม่แน่นอนของฮ่องกง ทั้งบริบทสังคม วัฒนธรรม และค่านิยมที่ถูกท้าทาย
California Dreamin’ ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเป็นเสียงสะท้อนความปรารถนาที่จะหนีจากความไม่มั่นคงของฮ่องกงไปสู่ดินแดนใหม่ที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือให้ตัวละครสร้างโลกในจินตนาการเพื่อหลีกหนีจากความเปลี่ยวเหงาในใจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหนังก็สะท้อนให้เราเห็นว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้ผูกติดอยู่กับ 'สถานที่' เสมอไป หากแต่ผูกพันอยู่กับ 'ผู้คน'
การตัดสินใจของเฟย์ที่หวนกลับมาหาคนที่เธอรัก และบทสรุปที่พวกเขาพร้อมจะเดินทางไป ‘ที่ไหนก็ได้’ ตราบใดที่มีกันและกัน คือเครื่องยืนยันว่า ‘แคลิฟอร์เนีย’ ในความฝันนั้น อาจไม่ใช่ดินแดนอันไกลโพ้นที่อยู่ปลายทาง แต่มันคือการได้อยู่เคียงข้างใครคนนั้นนั่นเอง
อ้างอิง:
- Stuff that Dreams Are Made Of: Music and the Future in Wong Kar-wai’s Chungking Express (1994) https://shorturl.asia/0j7Uk
- Liminality in a Microcosm: “California Dreaming” in Wong Kar-Wai’s Chungking Express(1994) https://shorturl.asia/a1Whc
- THE USE OF MUSIC IN CHUNGKING EXPRESS https://shorturl.asia/xKNGn
- “The Louder the Better”: How Chungking Express (1997) Captures the Way Pop Music Feels https://shorturl.asia/qd0JF