‘หมอเปรม’ลุยล่าชื่อต่อ สว.นํ้าเงินจ่อเช็กบิลคืน
สว.สีน้ำเงินจ่อเอาคืนปลอมลายเซ็น “หมอเปรม” ชี้เป็นวิชามารทางการเมืองบีบคำร้องตกอัตโนมัติ ข้องใจ 2 มาตรฐานไม่ท้อเตรียมล่าชื่ออีกรอบ นักกฎหมายมหาชนเตือนโทษหนักไม่ต่างจากเสียบบัตรแทนกัน
เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ส.ค.2568 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มอิสระ เข้าชื่อจำนวน 21 คน ยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของ สว. 136 คน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (7) ประกอบมาตรา 113 และขอให้ศาลมีคำสั่งให้ สว.ทั้ง 136 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว หรือให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วน เกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย จากคดีฮั้วการเลือก สว. แต่ต่อมาพบปัญหาการปลอมลายเซ็น จนถึงขั้นไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน รวมถึงมี สว.บางส่วนเข้าชื่อถอนรายชื่อออกไป โดยอ้างว่าเข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ จนส่งผลให้เสียงในการเข้าชื่อไม่ถึงกึ่งหนึ่งในการยื่นเรื่องต่อประธาน สว.
ล่าสุดแหล่งข่าวระดับสูงของ สว.เผยว่า หากมีการปลอมแปลงเอกสารจริง จะมีการฟ้องอาญา โดยจะไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป
นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อ สว.เพื่อยื่นคำร้องดังกล่าว ระบุว่า ได้รับแจ้งจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 ส.ค. ว่ารายชื่อในคำร้องไม่ครบ ทำให้ตกไป โดยมี สว.ที่ลงชื่อแล้วมาถอนชื่อ ซึ่งการถอนชื่อครั้งนี้มีเบื้องหลังแน่นอน แม้จะอ้างเหตุผลอะไรก็ตาม แต่อยากให้ประชาชนได้ติดตามเหตุผลลึกๆ ที่แท้จริง
“ได้รับทราบจาก สว.หลายคนที่ร่วมลงชื่อว่ามีความพยายามจาก สว.ที่มีรายชื่อถูกร้องเรียนได้โทรมาล็อบบี้ให้ถอนชื่อ เพื่อให้จำนวนผู้ลงชื่อไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ โดยอ้างเชิงข่มขู่ว่า หากไม่ยอมถอนชื่อออก จะถูกฟ้องกลับถูกดำเนินคดี มีการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ สว.ถอนชื่อ ก่อนหน้านี้ก็กดดันสร้างความลังเลให้ผู้ที่ยังไม่ลงชื่อไม่กล้าร่วมลงชื่อ ใครลงชื่อแล้วก็กดดันให้ถอนชื่ออีก ผมถือว่าเป็นวิชามารทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เพื่อล้มคำร้องไม่ให้ครบตามจำนวน 20 รายชื่อ และตกไปโดยอัตโนมัติ” นพ.เปรมศักดิ์กล่าว และว่า บางคนถึงขั้นโทร.มาหาเล่าว่าเขาถูกขู่ว่าถ้าไม่ถอนชื่อจะมีของตามมา มีทั้งเรื่องในอดีตและเรื่องส่วนตัว ถูกขุดขึ้นมาคุกคาม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเมืองแบบมีวุฒิภาวะ แต่คือการใช้อำนาจในเงามืด เพื่อกดขี่คนที่ยืนอยู่กับประชาชน แบบนี้ยังจะเรียกว่าการเมืองในระบบได้อีกหรือ
นพ.เปรมศักดิ์กล่าวต่อว่า ขอตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาถึงสองมาตรฐานในการพิจารณาคำร้องว่า คำร้องของ สว.สีน้ำเงินที่ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ถูกประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลในวันเดียวกันอย่างรวดเร็ว แต่พอเป็นคำร้องของ สว.กลุ่มอิสระให้ดำเนินการกับ สว.136 คน กลับถูกตรวจสอบอย่างยืดยาด ล่าช้าจนเปิดช่องให้ล็อบบี้อย่างเต็มที่ กระทั่งมีการถอนรายชื่อออก การเลือกปฏิบัติเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา แต่ยังส่งสัญญาณอันตรายว่า ผู้มีอำนาจกำลังใช้กลไกในรัฐสภาเพื่อสกัดเสียงตรวจสอบ สว.กลุ่มอิสระแค่ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญยื่นคำร้องขอความชัดเจนจากศาล ไม่เคารพกระบวนการประชาธิปไตยใดๆ เลย
“เราจะไม่หยุดที่จะสู้ต่อ แม้ว่าจะมีการถอนชื่อและกดดันอย่างหนัก พวกผมพร้อมที่จะหา สว.มาทดแทน เพื่อให้เรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์และได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นธรรม เพื่ออนาคตของการเมืองที่โปร่งใสและยึดมั่นในหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของ สว. 136 คน แต่เป็นเรื่องของระบบรัฐสภาไทยทั้งระบบ ถ้าเสียงข้างน้อยไม่มีที่ยืน วันหนึ่งประเทศนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับประชาชนเช่นกัน” นพ.เปรมศักดิ์กล่าว
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ระบุว่า กระบวนการตรวจสอบ หากเนื้อหาซ้ำกับใช้สิทธิ์ในองค์กรอื่น หรือลายมือชื่อไม่ครบถ้วน หรือลายมือชื่อปลอม ประธานวุฒิสภาตีตกคำร้องได้ทันที ไม่เป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามที่ สว.ข้างน้อยข่มขู่ เพราะเนื้อหาตามหนังสือของ สว.อิสระ บรรยายคำร้องผูกคอตนเอง เพราะไปซ้ำกับเนื้อหาที่เรื่องโกงการเลือก สว.ที่ กกต.กำลังพิจารณาอยู่ แม้จะแตกประเด็นให้เข้าเงื่อนไข แต่ภาพรวมเรื่องเดียวกัน การกระทำเดียวกัน ต้องถูกลงโทษครั้งเดียว และรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะ กกต. องค์กรอิสระ จะใช้ศรีธนญชัยเพื่อหยิบช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง เป็นทางด่วน รวดเร็ว ถูกใจคอการเมือง พุ่งเป้าไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เชือดและเร็วกว่า ย่อมกระทำไม่ได้ เพราะการทุจริตการเลือก สว.เป็นอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา
“กระบวนการใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน ข้ามขั้นตอนและใช้บริการทางด่วน ตัวแปร แม้ประธานวุฒิสภาจะบ้าจี้ยื่นถอดถอนตนเองด้วย โดยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามคำขู่ดำเนินคดีอาญาของ สว.บางคน ศาลย่อมไม่รับคดีไว้พิจารณา ส่วนการปลอมลายมือชื่อนั้น สว.ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ พนง.สอบสวนต้องส่งสำนวนให้แก่ ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช.ไต่สวนพบว่ากระทำผิดจริง จะเจอข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงอีกดอกหนึ่งโดยปริยาย เป็นโทษหนักติดคุกและตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีพ ไม่ต่างจาก สส.เสียบบัตรแทนกัน”.