GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 2/68 จำนวน 7 พันล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 2/2568 จำนวน 7,101 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากธุรกิจพลังงาน และส่วนแบ่งกำไรจาก AIS และรับรู้กำไรพิเศษจากการควบรวมธุรกิจกับ INTUCH จำนวน 56,120 ล้านบาท
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 โดยมีรายได้รวม (total revenue) อยู่ที่ 40,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จาก 32,629 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) อยู่ที่ 7,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จาก 5,611 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ (net profit) อยู่ที่ 63,871 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไรจากการรวมธุรกิจ (gain from amalgamation) จำนวน 56,120 ล้านบาท (เนื่องจากการควบรวมธุรกิจกับ INTUCH เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 บริษัทจึงได้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 กับข้อมูลทางการเงินรวมเสมือนของไตรมาส 2/2567)
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทมีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ครบทั้ง 4 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 2,650 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2567 เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่รับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า GPD เพียง 3 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 1,987.5 เมกะวัตต์) และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกอง (HKP) ครบทั้ง 2 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 1,540 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2568 เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่รับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า HKP เพียง 1 หน่วย (กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์)
อีกทั้ง GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 134 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 164 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 จากค่า Capacity Payment เฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 เป็น 270 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ในขณะที่ปริมาณไฟฟ้าเสถียรที่จ่ายเข้าสู่ระบบลดลง
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทรับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ในประเทศ จำนวน 5 โครงการ (กำลังการผลิตรวม 532 เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2567
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2568 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP ลดลง 22% จาก 643 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เป็น 500 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากโครงการ IPP ทั้ง 2 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP ได้แก่ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ หนองแซง (GNS) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ อุทัย (GUT) มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลดลง ตามความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศที่ชะลอตัว โดย GNS มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 52% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 19% ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ GUT มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 40% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 5% ในไตรมาสนี้ ขณะเดียวกัน กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง เนื่องจาก ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซย้อนหลังจากการตรึงราคาก๊าซในช่วงปลายปี 2566 เพื่อช่วยพยุงราคาไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วยในช่วงวิกฤตพลังงาน
ซึ่งต่อมาในเดือนมิถุนายน 2568 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการเรียกคืนเงินส่วนต่างมูลค่าก๊าซที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทจึงบันทึกส่วนต่างราคาก๊าซในไตรมาส 2/2568 โดยจะทยอยชำระเป็น 6 งวด ตามรอบการปรับค่า Ft นอกจากนี้ ราคาค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2567 เป็น 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2568 ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 319.6 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2567 เป็น 317.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2568 สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลดลง 17% จาก 751 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เป็น 626 ล้านบาท ในไตรมาสนี้
โดยมีสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาค่าก๊าซที่ ปตท. เรียกเก็บย้อนหลัง และค่า Ft ที่ลดลงตามที่กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มบริษัทมีเพียง 6% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทจึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย สำหรับโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 84% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 70% ในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ลดลงจากทั้งโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) และโครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี จากความเร็วลมที่ลดลง โดย GGC มีความเร็วลมเฉลี่ยลดลงจาก 5.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2567 เป็น 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 และ BKR2 มีความเร็วลมเฉลี่ยลดลงจาก 8.4 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2567 เป็น 7.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568
ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 208 ล้านบาท
ในไตรมาส 2/2568 ลดลง 45% จาก 382 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลงในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติ โดยราคาน้ำมันเตาลดลงจาก 81.6 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2567 เป็น 70.5 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ราคาค่าก๊าซธรรมชาติลดลงจาก 337.8 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2567 เป็น 330.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้ GLNG และ HKH ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทได้นำเข้า LNG มาแล้วจำนวนรวม 29 ลำ หรือประมาณ 2 ล้านตัน ส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้จาก shipper fee ที่เพิ่มขึ้น
ในไตรมาส 2/2568 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน AIS จำนวน 3,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จาก 2,476 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ AIS จากการเพิ่มขึ้นของ ARPU ซึ่งมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น การส่งเสริมการใช้งานเครือข่าย 5G ประกอบกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทยังรับรู้เงินปันผลรับจากการลงทุนใน KBANK จำนวน 977 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2568 จำนวน 13,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 11,079 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการรวมธุรกิจ) ในไตรมาส 2/2568 เท่ากับ 63,871 ล้านบาท
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 742,205 ล้านบาท หนี้สินรวม 396,105 ล้านบาท และ
ส่วนของผู้ถือหุ้น 346,100 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 0.87 เท่า
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 25% โดยไตรมาส 2/2568 เป็นไตรมาสแรกที่ GULF เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นโดยตรงใน AIS ในสัดส่วน 40.4% ภายหลังจากการควบรวมบริษัทเสร็จสิ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากค่า Capacity Payment ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของ data center เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทยอยปลดระวางลง โดยค่า Capacity Payment จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในช่วงกลางปี 2569 จาก 270 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 329 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน
ปัจจุบันบริษัทได้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมภายในปี 2578 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ครอบคลุม 5 ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม ลาว เยอรมนี และสหราชอาณาจักร โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 9 โครงการ กำลังการผลิตรวม 653 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัท GUNKUL และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 437 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัท บลู สกาย วินด์ พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด
นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 40% เป็น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากลายกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 12 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 119 เมกะวัตต์ และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม 3 โครงการ ทั้งนี้ GULF จะยังคงมุ่งมั่นในการเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 ต่อไป
สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติ ในปี 2568 กลุ่มบริษัทมีแผนจะนำเข้า LNG ทั้งหมดประมาณ 70 ลำ หรือคิดเป็นปริมาณรวม 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD HKP และ SPP 19 โครงการ ในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัท โดยธุรกิจ data center ซึ่งบริษัทร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ได้เริ่มทะยอยเปิดให้บริการเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ ไปเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนขยายเป็น 200-300 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับธุรกิจ cloud บริษัทร่วมทุนกับ AIS เพื่อให้บริการระบบคลาวด์ทั้งในรูปแบบ public cloud และ private cloud โดยร่วมมือกับ Oracle และ Google ในการพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างครอบคลุมทั้งลูกค้าองค์กร ลูกค้า SMEs หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ
บริษัทมีแผนลงทุน (equity investment) รวมกว่า 100,000 ล้านบาท ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมภายในประเทศ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม และธุรกิจ data center ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนแผนการเติบโตดังกล่าว บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 30,000 ล้านบาทในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และขยายธุรกิจของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- GULF สนับสนุนถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก สร้างโอกาสเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน
- GULF ตั้งกองทุน 100 ล้านบาท! หนุนขวัญกำลังใจทหารชายแดน และครอบครัว
- GULF มอบถุงยังชีพ 1,000 ชุดให้ ‘กองทัพบก’ หนุนภารกิจความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชา
ติดตามเราได้ที่