รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะมาแล้ว! แต่ทำไมบัตรใบเดียว "ขึ้นรถไฟฟ้าทุกสาย" ไม่ได้สักที
คนทำงานในกรุงเทพฯ มีสักกี่คนที่เดินทางแค่ต่อเดียว?
เพราะคนส่วนใหญ่ต้องขึ้นรถเมล์ ต่อรถตู้ เพื่อมาขึ้นรถไฟฟ้า และเมื่อลงสถานีปลายทางอาจต้องต่อวินมอเตอร์ไซค์อีก เรียกได้ว่าค่าใช้จ่ายการเดินทางอาจจะมากกว่าค่าอาหารในแต่ละวัน
นอกจากนี้หลายคนอาจต้องต่อ "รถไฟฟ้าหลายสาย"
ดังนั้นการเดินทางในกรุงเทพฯ 1 วันอาจต้องพกบัตรเพื่อจ่ายค่าโดยสารอย่างน้อย 2-3 ใบ
จากความวุ่นวายนี้เลยเกิดแนวคิด "ตั๋วร่วม" ที่อยากจะทำให้คนไทยขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ หรือการเดินทางอื่นๆ ด้วยบัตรใบเดียว ซึ่งแนวคิดนี้อยู่กับคนไทยมากว่า 19 ปี และถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ตามที่วางแผนไว้
ทำไม "ตั๋วร่วม" ไม่เกิดสักที
แม้รัฐจะดันโครงการรถไฟฟ้า 20 บาททุกสาย
ย้อนไปช่วงปี 2561 ที่หลายคนลุ้นว่าจะมีตั๋วร่วมเกิดขึ้นในชื่อ บัตรแมงมุม แต่บัตรที่ว่ากลับใช้ได้ในรถไฟฟ้าในกลุ่มการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เช่น MRT สายสีน้ำเงิน สีม่วง เป็นหลักและยังไม่เชื่อมกับระบบรถไฟฟ้า BTS ที่คนเดินทางส่วนใหญ่ต้องใช้งานกัน
มาถึงวันนี้ แม้วันที่ 1 ตุลาคม 68 กระทรวงคมนาคมจะเริ่มใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แต่จากข้อมูลล่าสุด คนไทยอาจต้องใช้บัตรอย่างน้อย 2 ใบ เพื่อเดินทาง "ข้ามสาย" เช่น ถ้าขึ้นรถจากสถานีหลักสอง (สายสีน้ำเงิน) ไปสถานีสยาม (สายสีเขียว) แม้ค่าโดยสารจะเหลือที่ 20 บาท แต่อาจใช้บัตรใบเดียวกันไม่ได้
ส่วนบัตรโดยสารที่ใช้ได้ใน "รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" จะมี 2 แบบ
- บัตรระบบ EMV เช่น บัตร Prepaid (บัตรเติมเงิน), บัตรเดบิต, บัตรเครดิต จะใช้ได้กับ MRT สายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู, สายสีเหลือง รวมถึง รถไฟฟ้า SRT สายสีแดง (ในข่าวบอกว่าจะเชื่อมกับ Airport Rail Link ภายในตุลาคม 68)
- บัตรเติมเงิน Rabbit ที่ยืนยันตัวตนแล้ว จะใช้ได้ใน BTS สายสีเขียว และสายสีทอง รวมถึงสายสีชมพู, สายสีเหลือง
ดังนั้น บัตรเติมเงิน MRT ที่หลายคนมีอยู่แล้วจะใช้กับ รถไฟฟ้า 20 บาททุกสายไม่ได้ และถ้าอยากได้สิทธินี้ยังต้องใช้บัตรประชาชน และบัตรโดยสารที่เข้าร่วม ไปลงทะเบียนผ่านแอป "ทางรัฐ" ที่จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมนี้ ซึ่งยังต้องลุ้นกันอีกว่าแอปจะล่ม หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรตามมาหรือไม่
แต่ถ้าถามถึงสาเหตุที่ "ตั๋วร่วม" ไม่ร่วมกันสักทีนั้น ดร.สุเมธ องคิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า "ปัญหาหลักคือ ระบบที่เราไม่สามารถกำหนดให้ทุก Operator (บริษัทรถไฟฟ้า) เขาใช้ระบบเดียวกันตั้งแต่ต้น ซึ่งตรงนี้ที่จะต้องรีบแก้"
ปัญหา "2 บริษัท 3 ระบบบัตรโดยสาร"
ดร.สุเมธ เล่าต่อว่า ทุกวันนี้โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับบัตร เช่น ประตูที่ใช้แตะหรือสแกนบัตร ในส่วนของ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS จะมี 2 ระบบ คือ 1) บัตร Rabbit ที่ใช้ RFID และ 2) Magnetic Card หรือบัตรที่เราหยอดซื้อจากตู้ขายตั๋ว
ส่วนกรณีรถไฟฟ้า MRT มี 3 ระบบ 1) Token หรือเหรียญพลาสติกที่ซื้อจากตู้ขายตั๋ว 2) MRT Plus เป็นระบบปิดเหมือน Rabbit แต่คนละบริษัท Encrypt คนละแบบ 3) ระบบ EMV มาจากมาตรฐานของ Europay, Mastercard และ Visa ซึ่งคนที่ใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตจะแตะเข้าสถานีได้เลย
"เข้าใจว่าระบบของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะ Convert เข้ามา EMV เกือบทั้งหมด ดังนั้นแผนด้านหนึ่งก็อยากจะใช้ EMV เป็นหลัก แต่ระบบหลักที่มีคนใช้มากที่สุดคือสายสีเขียว และสายเปิดใหม่อย่างชมพูและเหลืองใช้บัตร Rabbit ยังใช้ EMV ไม่ได้"
ดังนั้นต่อไป ถ้าจะปรับให้รถไฟฟ้าใช้ระบบ EMV ฝั่งสายสีเขียว สายสีทอง จะต้องถ้าจะนำระบบ EMV มาลงต้องเปลี่ยนประตู เพิ่มหัวอ่าน และต้องปรับปรุงระบบทำให้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งการจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเดียวกัน จะต้องมีแรงจูงใจ หรือมีเงินอุดหนุน จึงคาดว่าการมีกฎหมายที่เกี่ยวกับระบบตั๋วร่วมจะมาช่วยแก้เรื่องนี้ได้ แต่ขึ้นอยู่กับการยกระดับในอนาคต
กลับมาที่ MRT สัดส่วนคนใช้ EMV ยังน้อยมาก เพราะคนที่มีต้องเปิดบัญชีกับธนาคารหรือมีบัตรเครดิต ที่อาจมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงเลยเห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าผ่านความร่วมมือกับ รฟม. และกรุงไทย ออกบัตรแมงมุม EMV มาใหม่ ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า เปิดขายบัตรที่ 150 บาท (ค่าธรรมเนียมเปิดบัตร 50 บาท และเงินในบัตร 100 บาท) ขณะที่บัตร Rabbit มีค่าธรรมเนียมทำบัตรราว 30-50 บาท
"ถ้าถึงวันที่ระบบ EMV กลายเป็นมาตรฐานหลักของกรุงเทพฯ สายสีเขียว สายสีอื่นๆ ที่ยังไม่รองรับ EMV จะสามารถรองรับ EMV ได้เมื่อไร ถ้าทำได้ก็อาจจะใช้บัตรเดียวได้ทั้งระบบ"
ส่วน รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ข้อมูลจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สรุปไว้ว่านโยบายนี้จะเริ่มให้ประชาชนใช้งานตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2569 ช่วงแรกต้องใช้บัตร แต่ต่อไปจะเปิดระบบสแกน QR Code ในมือถือแทนการใช้บัตรได้ด้วย ในภาพรวมภาครัฐเชื่อว่าผลลัพธ์จากโครงการนี้จะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 32.56% จากปีงบ 68 แต่ฝั่ง TDRI คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14% จากเดิม
แต่ที่สำคัญกว่าคือ คนไทยจะได้ใช้ 20 บาทตลอดสายได้นานแค่ไหน เพราะ TDRI เคยตั้งข้อสงสัยว่าส่วนต่างค่าโดยสารที่รัฐจะต้องจ่าย "ชดเชย" ให้กับบริษัทรถไฟฟ้ายังมีต้นทุนซ่อนอยู่จากรายละเอียดของสัญญาสัมปทานในรถไฟฟ้าแต่ละสาย
เรียกว่าถึงคนเดินทางจะได้ลองค่ารถไฟฟ้าที่ถูกลงเหลือ 20 บาท แต่ต้องลุ้นกันต่อไปว่า ระบบตอนใช้จริงจะเป็นแบบไหนและจะได้ราคาถูกอย่างยั่งยืนหรือไม่
ที่มา TDRI [1],[2], ครม., ธนาคารกรุงไทย, สภาองค์กรของผู้บริโภค
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะมาแล้ว! แต่ทำไมบัตรใบเดียว "ขึ้นรถไฟฟ้าทุกสาย" ไม่ได้สักที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ปชน. ย้ำจุดยืนค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท ภาษีประชาชนต้องถูกใช้สมเหตุสมผลและยั่งยืน
- คมนาคม เดินหน้าโปรเจ็กต์หมื่นล้าน
- ลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มเมื่อไหร่ สายไหนบ้าง เช็กได้ที่นี่
- “ศึกษิษฏ์” แจงเหตุต้องลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พร้อมวิธีหักค่าโดยสาร
- รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายใกล้เป็นจริง เปิดลงทะเบียน "แอปทางรัฐ" 25 ส.ค.นี้
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath