โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

กองทัพแจงชัดทำตามกฎ เหตุไม่ปล่อยทหาร 18 นาย หลังกัมพูชาร้อง UN แทรกแซง

Amarin TV

เผยแพร่ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา
กัมพูชาเรียกร้องสหประชาชาติเข้าแทรกแซงทางการไทย เพื่อเร่งปล่อยตัวนายทหาร 18 นาย ล่าสุดกองทัพบกออกมาชี้แจงละเอียด ทำไมยังปล่อยตัวทหารไม่ได้

กัมพูชาร้อง UN ช่วยปล่อยตัวทหาร

Khmer Times รายงานความเคลื่อนไหวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ที่ได้ยื่นอุทธรณ์อย่างเป็นทางการต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อขอให้มีการแทรกแซงทางการไทยอย่างเร่งด่วน ให้มีการปล่อยตัวทหารชาวกัมพูชา 18 รายที่ยังถูกคุมตัวอยู่ โดยอ้างว่า กองทัพไทยกักขังทหารโดยพลการ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และละเมิดหลักมนุษยธรรม

นายแก้ว เรมี ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึง กานนา ยุดกิฟสกา ประธานผู้รายงานแห่งคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (Chair-Rapporteur of the UN Working Group on Arbitrary Detention) ลงวันที่เมื่อ 6 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่ระบุว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นการบ่อนทำลายข้อตกลงหยุดยิงและละเมิดพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศ”

จดหมายฉบับนี้อ้างอิงสนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี ซึ่งรวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งห้ามการจับกุมและคุมขังโดยพลการ และอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 3 ซึ่งกำหนดให้มีการปล่อยตัวและส่งกลับทหารโดยไม่ชักช้าหลังจากยุติการสู้รบ

สำนักข่าวกัมพูชา The Phnom Penh post เขียนบทความ “การจับมือกลายเป็นกับดัก: การทรยศทหารกัมพูชา 20 นาย หลังหยุดยิง” โดยเนื้อหาโจมตีรัฐบาลและกองทัพไทยว่าลักพาตัวทหาร 20 นาย เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ไทยและกัมพูชาต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง

บทความตอนหนึ่งระบุว่า ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัวมา 41 วันแล้วนับตั้งแต่ถูกจับกุม ทหารสองนายที่ถูกส่งตัวกลับมามีสภาพร่างกายพิการ ส่วนอีกนายมีอาการบาดเจ็บทางจิตใจ ทั้งคู่มีอาการป่วยหนัก ร่างของทหารที่เสียชีวิตถูกส่งกลับเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ณ เวลานี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสถานะทางกฎหมายหรือการปฏิบัติต่อทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยเป็นอย่างไร

ไทยยันทำถูกหลัก เชิญกาชาดเยี่ยมทหาร

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 กองทัพบก โดยความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ ได้อำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) ประจำกรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมเชลยศึกกัมพูชา จำนวน 18 นาย ณ สถานที่ควบคุมตัวในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าพบและพูดคุยกับเชลยศึกอย่างอิสระ ตามที่ ICRC แสดงความประสงค์ ทั้งนี้ การปฏิบัติของกองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพันธกรณีตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีมาโดยตลอด และไม่อนุญาตให้คณะผู้แทนฝ่ายไทยหรือสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ระหว่างการพบปะพูดคุยกับเชลยศึก เพื่อสะท้อนถึงความโปร่งใส

สำหรับประเด็นการส่งคืนเชลยศึก คณะ ICRC ได้ระบุว่า ในอนาคตเมื่อฝ่ายไทยและกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการปล่อยตัวเชลยศึก ทางคณะ ICRC ยินดีทำหน้าที่เป็นตัวกลางและเป็นพยานในระหว่างการส่งมอบ โดยยังคงยึดมั่นในจุดยืนแห่งความเป็นกลาง ซึ่งเป็นมาตรฐานการทำงานที่มุ่งเน้นด้านมนุษยธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติหรือสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ทัพบกโต้ เปิดให้องค์กรระหว่างประเทศเยี่ยมทหารได้ตลอด

ล่าสุด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า แม้ข้อตกลงหยุดยิงที่ไทยและกัมพูชาได้กำหนดร่วมกันไว้ว่าภายในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพื้นที่นั้น คือฝ่ายไทยยังคงพบว่ากัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ใช้อาวุธโจมตีทหารไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยต้องมีการตอบโต้และป้องกันอธิปไตยของตน ตลอดคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ที่ไม่ปรากฏเสียงการใช้อาวุธในพื้นที่ชายแดน

โดยการควบคุมตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 รายนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ยังมีการสู้รบอยู่ และทางกัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงจริง ทำให้ไทยต้องดำเนินการควบคุมตัวเชลยศึกทั้งหมด ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 3 ว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก พ.ศ. 2492 ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นรัฐภาคีที่ให้สัตยาบันร่วมกัน และมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเชลยศึกจะได้รับการส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์

แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ที่กองทัพบกยังได้รับรายงานจากหน่วยทหารในพื้นที่ว่า พบการกระทำของทหารกัมพูชาที่มีเจตนาในการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการตรวจพบโดรนลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดน, การแสดงท่าทียั่วยุและสนับสนุนให้ประชาชนชาวกัมพูชาแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อทหารไทย รวมทั้งการรุกล้ำอธิปไตยไทย ลักลอบเข้ามารื้อลวดหนามหรือลอบวางทุ่นระเบิด PMN-2 ของทหารกัมพูชา ที่หวังต่อชีวิตและการสูญเสียของทางฝั่งไทย

การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธในพื้นที่นั้นยังไม่สิ้นสุดลง แม้สถานการณ์ภาพรวมจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

สำหรับการดูแลเชลยศึกนั้น กองทัพบกขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามข้อกำหนดในอนุสัญญาเจนีวาอย่างครบถ้วน ซึ่งที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้ามาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ และพบปะพูดคุยกับเชลยศึกในพื้นที่ควบคุมรวม 2 ครั้ง ทั้งนี้ หากมีหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ ต้องการเข้ามาตรวจสอบกระบวนการดูแลและควบคุมตัวเชลยศึก สามารถประสานผ่านกลไกระหว่างประเทศ หรือกองทัพบกได้ตลอดเวลา

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...