สถานการณ์ร้อน : กับดักเขมรลากไทยสู่ทุ่งสังหาร
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชายังไม่มีวี่แววว่าจบสิ้นสุดยุติได้เมื่อไหร่ แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลไทยกลับแสดงท่าทีผ่อนคลาย และพยายามทำให้พี่น้องชาวไทยคลายใจไปพร้อมกัน
จากการที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี อ่านคำแถลงใหญ่ “ก้าวผ่านสองวิกฤติ เดินหน้าไปด้วยกัน” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งระบุถึงเหตุการณ์ปะทะรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาว่าขณะนี้สิ้นสุดลงแล้วเบื้องต้น และประเทศคู่กรณีเริ่มเข้าสู่โต๊ะเจรจา
แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์ในพื้นที่ และยังกังวลใจต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเอง
เนื่องจาก เหตุการณ์ปะทะกันดังกล่าว กัมพูชาที่นำโดย 2 พ่อ-ลูก “ตระกูลฮุน” อย่าง “สมเด็จฯ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ “สมเด็จฯ ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่ได้แค่ใช้อาวุธหนักเปิดเกมสู้รบกับฝ่ายไทย แต่แสดงพฤติกรรมยั่วยุต่อเนื่อง ทำสงครามประสาทกับบ้านเราหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น การสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้าง ใช้ประชาชนกัมพูชาเข้าอาศัยในเขตพิพาท เพื่อเปลี่ยนข้อเท็จจริงในพื้นที่ การขุดสนามเพลาะหรือคูเลตรุกล้ำดินแดนไทย
แถมยังเผยแพร่ข่าวลือ-ข่าวปลอมผ่านสื่อต่างๆ ในกัมพูชา ผสมโรงด้วยวงศาคณาญาติของผู้นำกัมพูชาร่วมมือกระพือข่าวเท็จกล่าวหาไทยสารพัดเรื่อง จนเรียกได้ว่าเป็น “เฟคนิวส์ แฟมิลี่” แม้ฝ่ายไทยพยายามเร่งเครื่องสู้รบทุกสนาม ทั้งชายแดน โลกข้อมูลข่าวสาร เวทีประชาคมโลก แต่กัมพูชายังไม่หยุดตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เล่นเล่ห์สารพัดต่อไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กองทัพกัมพูชาลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่พิพาท ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ทหารไทย 15 นาย บาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบอาวุธสังหารชนิดนี้ เมื่อวันที่ 16, 23 ก.ค. และ 9, 12 ส.ค.2568 รวม 4 ครั้ง แม้รัฐบาลและกองทัพไทยแสดงการประท้วง ประณาม และร้องเรียนต่อประชาคมโลก เวทีสหประชาชาติ รัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่เรียกว่า “อนุสัญญาออตตาวา” รวมถึงประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และชาติมหาอำนาจ ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา เพื่อให้มาจัดการกับกัมพูชาที่ละเมิดกฎกติการะหว่างประเทศ
แต่ก็ยังไม่มีองค์กรใด ประเทศไหนออกมาดำเนินการใดๆ ตามที่ไทยร้องขอ ขณะที่กัมพูชาดื้อตาใสต่อไป ขณะที่มีเสียงร้องจากกำลังพลของไทยในแนวหน้าร้องว่าไม่ไหวแล้ว อยากให้รัฐบาลสั่งการให้จบๆไป
“พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ยอมรับว่าเป็นการยั่วยุของกัมพูชา และผิดเงื่อนไขการหยุดยิง ฝ่ายไทยจึงจะมีมาตรการตอบโต้ ทั้งการประท้วงในระดับสากลต่อฝ่ายเขมร ขณะที่โฆษกกองทัพบกของไทย ระบุว่าหากสถานการณ์บีบบังคับ อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ป้องกันตนเอง แต่ไม่สามารถลงรายละเอียดในเรื่องของวิธีการได้
จึงทำให้มีเสียงสะกิดเตือนใจจากหลายฝ่ายไปถึงกองทัพและรัฐบาลไทยที่ต้องระวังขั้นสูงสุด ไม่เปิดฉากยิงโจมตีนัดแรกใส่กัมพูชาก่อนจากปัญหาทุ่นระเบิดดังกล่าว
มิฉะนั้นจะเข้าทางเกมที่ฝ่ายตรงข้ามลากไทยไปสังหารในเวทีนานาชาติ และศาลโลกในอนาคต กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ สูญเสียแผ่นดินไทยตามที่กัมพูชาปรารถนา.