โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

จากผู้ถูกตัดสิทธิ์…ถึงผู้ถูกเสนอชื่อ: เส้นทาง ‘อนุทิน’ สู่นายกรัฐมนตรีคนที่ 32

ไทยโพสต์

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

จากวันที่ต้องถอยออกจากสนาม จนถึงวันที่ถูกเสนอชื่อบนเก้าอี้สูงสุด เส้นทางของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ทำให้เห็นว่าอำนาจการเมืองไทยหมุนเวียนไม่รู้จบ 5 กันยายน อาจเปิดทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่โจทย์ใหญ่กว่าตัวตำแหน่ง คือการรักษาสมดุลระหว่าง “เกมต่อรอง” กับ “การบริหารประเทศที่แท้จริง”

สองทศวรรษแห่งการเมืองไทยเต็มไปด้วยจังหวะพลิกผัน ผู้ที่เคยหล่นจากเวทีในวันวาน วันนี้กลับไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจอนุทิน ชาญวีรกูล คือภาพแทนชัดเจน จาก ผู้ถูกตัดสิทธิ์กลายเป็น ผู้ถูกเสนอชื่อ ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การเมืองไทยไม่เคยเป็นเส้นตรง บ้านเลขที่ 111 เคยปิดประตูเส้นทางไว้ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักให้แข็งแรงกว่าเดิม จากเงามืดของการเว้นวรรค ชื่ออนุทินส่องสว่างกลางสปอตไลท์ในฐานะ “ตัวเลือกหมายเลขหนึ่ง” ของสภาผู้แทนราษฎร

ถึงกำหนด 5 กันยายน 2568 วันที่สภาฯจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ชื่อที่คาดหมายมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่น “อนุทิน” จากอดีต “ผู้ถูกตัดสิทธิ์” กำลังก้าวสู่สถานะ “ผู้ถูกเลือก” บนตำแหน่งสูงสุดของการเมืองไทย เส้นทางที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงทางรอง กลับกลายเป็นเส้นทางสายหลัก ที่ทั้งประเทศต้องหันมาติดตาม

เส้นทางการเมืองของอนุทินเริ่มต้นตั้งแต่วัยหนุ่ม ปี 2539 เขาเข้าสู่เวทีอย่างเงียบๆ ในฐานะ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่นานก็ขยับขึ้นเป็น รมช.สาธารณสุข และ รมช.พาณิชย์ ก้าวที่รวดเร็วทำให้ชื่อ “อนุทิน” ปรากฏชัดบนแผนที่การเมืองไทย

ทว่าการเมืองไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ จากเส้นทางที่กำลังพุ่งทะยาน สายลมแห่งอำนาจก็เปลี่ยนทิศ ปี 2549 พรรคไทยรักไทยถูกยุบ กรรมการบริหารพรรค 111 คนถูกตัดสิทธิ์ อนุทินคือหนึ่งในนั้น การเมืองผลักให้เขาต้องถอยออกจากสภาโดยไม่สมัครใจ

ช่วงเว้นวรรคห้าปีจึงไม่ใช่การลบชื่อออกจากการเมือง หากแต่เป็นเวลาสะสมทุนและเครือข่าย ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และขยายกิจการการบินส่วนตัว ภาพลักษณ์ใหม่ที่ต่างจากนักการเมืองทั่วไปเริ่มปรากฏเด่นชัด การถอยครั้งนั้นจึงกลายเป็น การถอยเพื่อเก็บแรง รอวันกลับเข้าสู่เกมใหญ่อีกครั้ง

ครบกำหนดตัดสิทธิ์ในปี 2555 อนุทินกลับสู่สนาม และก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย การกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงคืนสู่ตำแหน่ง แต่เป็นการเปิดฉากใหม่ที่เต็มไปด้วย ทุน เครือข่าย และประสบการณ์ ที่สะสมไว้

อีกชื่อที่ต้องเอ่ยถึงคือเนวิน ชิดชอบ บุคคลที่ถูกยกให้เป็น “ครูใหญ่” ของภูมิใจไทย แม้ไร้ตำแหน่งทางการเมือง แต่เป็นเสาหลักที่อยู่เบื้องหลังการเดินหมาก คำปรึกษาและยุทธวิธีของเนวิน ทำให้พรรคเล็กค่อยๆ แปรสภาพเป็นพรรคที่ใครก็ไม่อาจมองข้าม

การผสานระหว่างผู้นำรุ่นใหม่อย่างอนุทินกับประสบการณ์ของเนวิน ผลักให้ภูมิใจไทยขยับจาก พรรคขนาดกลาง สู่การเป็น ตัวแปรกลางของการเมืองไทย ตั้งแต่นั้นมา ชื่อของอนุทินไม่เคยหายไปจากสมการอำนาจอีกเลย

หลังการเลือกตั้ง 2562 อนุทินก้าวขึ้นเป็น นักการเมืองแถวหน้า อย่างแท้จริง ควบสองบทบาท รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เวทีที่ทั้งโอกาสและแรงกดดันถาโถมเข้ามาพร้อมกัน

บทบาทในรัฐบาลประยุทธ์ จึงเสมือน สนามพิสูจน์ใหญ่ทั้งการบริหารในยามวิกฤติ และการตัดสินใจที่แตะชีวิตผู้คนโดยตรง จาก “นักการเมืองต่อรอง” ขึ้นชั้นเป็น ผู้นำที่สังคมจับตา

การแพร่ระบาดของ โควิด-19 คือบททดสอบใหญ่ที่สุด ภาพการแถลงข่าวรายวันทำให้ชื่อของเขาติดอยู่ในสายตาประชาชนทั่วประเทศ แม้ถูกวิจารณ์หนักหน่วง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ทุกการตัดสินใจเรื่องวัคซีน เตียงคนไข้ และระบบสาธารณสุข ล้วนอยู่บนบ่าของเขา

อีกนโยบายสำคัญคือ การปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์ สไตล์การเมืองแบบอนุทินสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน กล้าที่จะเดินในประเด็นที่คนอื่นยังลังเล แม้เต็มไปด้วยเสียงถกเถียง แต่ก็ทิ้งรอยชัดในหน้าประวัติศาสตร์สาธารณสุขไทย

จากสนามสาธารณสุข เขาก้าวต่อสู่สนามใหม่ที่ทรงอำนาจไม่แพ้กัน หลังเลือกตั้ง 2566 อนุทินได้บทบาท รมว.มหาดไทย ควบรองนายกฯ ในรัฐบาลเพื่อไทย

ช่วงเวลานี้ถือเป็นอีกบทสำคัญ เพราะมหาดไทยคือ หัวใจการบริหารเชิงปฏิบัติ แต่เมื่อสมการพรรคร่วมเปลี่ยน ภูมิใจไทยต้องหลุดจากรัฐบาล และถูกผลักไปอยู่ ฝ่ายค้านเต็มตัว

ประสบการณ์นั้นทำให้เห็นว่าอำนาจการเมืองไม่ได้วัดกันที่เก้าอี้ หากวัดกันที่ ความสามารถในการลุกขึ้นใหม่ แม้ในวันที่ถูกดันออกไปข้างสนาม

หากอดีตคือเวทีพิสูจน์ความทรหด ปัจจุบันคือเวทีพิสูจน์ ศิลปะของการเจรจาและต่อรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการทำงานฝ่ายเดียว แต่เกิดจากการจัดสมการเสียงทั้งสภา

วันที่ 3 กันยายน 2568 กลายเป็นจุดพลิกสำคัญ พรรคประชาชน ประกาศหนุนอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้ ข้อตกลง 5 ข้อ (TOR) หนึ่งในนั้นคือการยุบสภาภายใน 4 เดือน และการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เงื่อนไขที่ท้าทายแต่เขาตอบรับทันที เพราะรู้ดีว่าหนทางสู่ยอดต้องเริ่มจากเสียงสนับสนุน

ก่อนหน้านี้ เสียงจากภูมิใจไทยและพันธมิตรยังไม่พอ แต่เมื่อบวกเสียงพรรคประชาชนกว่า 140 เสียง สมการก็เปลี่ยน ชื่อเดียวที่ข้ามเส้นครึ่งหนึ่งของสภาได้จริงคืออนุทิน

และคำว่า “นักการเมืองสายต่อรอง” ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ภาพมันชัดเจนในหลายเหตุการณ์: ปี 2551 ที่ “ครูใหญ่เนวิน” พลิกขั้วการเมือง, ปี 2562 ที่ภูมิใจไทยจับมือพลังประชารัฐจนได้กระทรวงใหญ่ และปี 2568 ที่ TOR ของพรรคประชาชนกลายเป็นเงื่อนไขชี้ขาด ทั้งหมดสะท้อน ศิลปะของการรักษาสมดุล ไม่ยึดติดขั้ว แต่ยืนตรงจุดที่ทำให้เสียงเล็กๆ กลายเป็นเสียงที่ขาดไม่ได้

แน่นอนเส้นทางแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าปราศจากคำครหา แต่มุมที่เราเห็นชัดคือ ความสามารถในการทำให้เสียงเล็กๆ กลายเป็นเสียงที่จำเป็นต่อการจัดสมการอำนาจทางการเมือง

และเมื่อ TOR ของพรรคประชาชนถูกยกเป็นเงื่อนไขชี้ขาด จังหวะนี้เองที่ทำให้ “เส้นทางอนุทิน” เด่นชัดกว่าที่เคย ไม่ใช่แค่เกมการต่อรองรายครั้ง แต่คือ ภาพสะสมของนักการเมืองที่รู้จักลุกขึ้นใหม่ จากทุกจังหวะที่เคยสะดุด

เส้นทางของ อนุทิน ชาญวีรกูล จึงกลายเป็น บทเรียนหนึ่งของการเมืองไทย จากผู้ถูกตัดสิทธิ์ กลับมาถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ความพ่ายแพ้ครั้งก่อนกลายเป็นแรงส่งให้กลับมาสูงกว่าเดิม

ทุนทางการเมืองไม่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน เครือข่ายบุรีรัมย์ และบทบาทของ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ วางรากฐานให้ภูมิใจไทยมั่นคง เมื่อบวกกับสไตล์การตัดสินใจ ทั้งในวิกฤตโควิดและการปลดล็อกกัญชา ชื่ออนุทินจึงก้าวพ้นภาพหัวหน้าพรรคขนาดกลาง สู่การเป็น แคนดิเดตนายกฯ ที่ถูกจับตา

แรงหนุนจากพรรคประชาชน พร้อม TOR 5 ข้อ ไม่เพียงชี้ถึง อำนาจต่อรอง แต่ยังพิสูจน์ความสามารถในการสร้าง ข้อตกลงที่พรรคใหญ่ยังทำไม่ได้ เส้นทางที่เคยสะดุดใน บ้านเลขที่ 111 วันนี้กำลังพาเขาสู่ ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะนายกรัฐมนตรี การพลิกผันเช่นนี้ ครั้งหนึ่งแทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง

แต่การไปถึงตำแหน่งก็เป็นเพียง ครึ่งหนึ่งของเส้นทาง อีกครึ่งหนึ่งคือ ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า

วันโหวตเป็นเพียงประตูบานแรก สิ่งที่สังคมรอดูไม่ใช่แค่ผลโหวต แต่คือ ภารกิจการบริหารประเทศ หลังจากนั้น

โจทย์ใหญ่ที่รออยู่คือการรักษาสมดุลระหว่าง ความมั่นคงของชาติ และ เศรษฐกิจของประชาชน แรงกดดันด้านความมั่นคงทั้งจากภายใน ภูมิภาค และแรงสั่นสะเทือนระดับโลก ผสานกับปัญหาเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น รายได้ ค่าครองชีพ และหนี้ครัวเรือน ที่ต้องแก้อย่างจริงจัง นี่คือเวทีวัด คุณภาพผู้นำ ไม่ใช่เวทีวัดดีลการเมือง

ภารกิจของ นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จึงไม่ใช่เพียงการทำตามเงื่อนไขทางการเมือง แต่คือการพิสูจน์ว่า รัฐบาลใหม่สามารถค้ำยันทั้งความมั่นคงของชาติและความอยู่รอดของประชาชนได้จริง หากทำสำเร็จ ประวัติศาสตร์จะไม่จดจำอนุทินเพียงเพราะ “ดีล” ที่พาเข้าสู่ตำแหน่ง แต่จะบันทึกในฐานะ ผู้นำที่ก้าวข้ามจากนักการเมืองสายต่อรอง สู่ ผู้นำประเทศที่สร้างความหวังใหม่ให้สังคมไทย.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...