สีดา สอนศรี : ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทยประเด็นที่น่าพิจารณา
กรณีการสู้รบระหว่างเขตแดนของกัมพูชากับไทย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประวัติศาสตร์แล้ว ทุกวันนี้มีข่าวรายงานจากสื่อถึงข้อพิพาทที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือผลประโยชน์แห่งชาติ ประเทศไทยเราทราบดีว่ากัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน แต่มีคำถามว่าทำไมกัมพูชาจึงล่วงล้ำเขตแดนไทย คำตอบก็คือเขาต้องการปราสาท ต้องการก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในเขตแดนของไทย ถ้าเขาได้ไปก็จะสร้างผลประโยชน์อย่างมหาศาล ทั้งการอ้างสิทธิของปราสาทให้เป็นมรดกของชาติและทั้งได้ก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและทำการค้าด้านนี้ ชาติที่เข้ามาลงทุนในกัมพูชาในขณะนี้คือ แคนาดา จีน เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ สหรัฐ และไทย การสู้รบระหว่างเขตแดนเป็นเรื่องที่มีกันทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรถ้าพิจารณาในแง่เศรษฐกิจ และการเป็นเจ้าโลกของมหาอำนาจ
กัมพูชาฉวยโอกาสในขณะที่ไทยมีปัญหาทางการเมือง ได้ยื่นข้อพิพาทไปที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Court of Justice – ICJ) ซึ่งเป็นศาลเดียวที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษากรณีข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐสมาชิกสหประชาชาติทุกรัฐเป็นภาคีธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่ไทยไม่ยอมรับศาลนี้เพราะเคยร้องเรียนควบคู่ไปกับกัมพูชากรณีเขาพระวิหาร ทำให้ไทยแพ้คดีเป็นเพราะการตีความลำเอียงของ ICJ
อีกทั้งมีหลากหลายประเทศที่ไม่ยอมรับ ICJ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อห้ามของสหประชาชาติ อีกประการหนึ่ง ICJ จะดำเนินการใดๆ ไม่ได้หากไม่มีคู่กรณีเสนอไป นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมไทยไม่ฟ้องไปที่ ICJ
แต่ถ้าหากกัมพูชายื่นกรณีพิพาทไปที่ ICC (International Criminal Court) พร้อมด้วยข้อร้องเรียนต่างๆ จริงบ้างไม่จริงบ้าง เราก็น่าจะลองยื่นข้อเท็จจริงที่เป็นจริงพร้อมหลักฐานไปที่ ICC ด้วย และ Lobby เพื่อนจากประเทศต่างๆ ให้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะประเทศที่มีบทบาทใน UNSC (United Nations Security Council) ไทยต้องคิดหาผู้เจรจาต่อรองที่เป็นกลางที่จะเป็นสื่อในต่างประเทศได้ด้วย
ผู้เจรจานี้ต้องเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักและยอมรับกันในสังคมระหว่างประเทศ ถึงแม้เราไม่ได้เป็นสมาชิกของ ICC (กัมพูชาเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เป็นสมาชิก) แต่เราสามารถขออนุมัติเป็นพิเศษขอให้พิจารณากรณีพิพาทได้ถ้าเราต้องการจะลองดู ศาลนี้มีขอบเขตพิจารณา
1.การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
2.อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
3.อาชญากรรมอันเป็นการรุกราน
4.อาชญากรรมสงครามที่ใช้อาวุธ
แต่ประเด็นที่สำคัญคือจีนเป็นผู้สนับสนุนกัมพูชา ด้วยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยควรจะทำอย่างไร สำหรับศาลนี้มีสำนักอัยการ จะตรวจสอบเบื้องต้น รายงานข้อมูลพื้นฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล จากนั้นก็เริ่มสืบสวนว่าเหตุการณ์ข้อพิพาทดังกล่าวว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ตามที่อยู่ในอำนาจศาล และเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรงหรือไม่ ศาลระดับประเทศดำเนินการได้หรือไม่ และการยื่นฟ้องนั้นมีความยุติธรรมหรือไม่ ประเทศไทยก็ต้องลองดู แต่ไม่ควรให้ ICC ล่วงละเมิดอธิปไตยของไทย เหมือนอย่างเมื่อครั้งเราเป็นภาคีสมาชิกของ ICJ เรื่องเขาพระวิหาร
ในการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ซึ่งมาเลเซียประธานอาซียน เป็นตัวกลางเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น จะต้องมีการเจรจาไปอีกหลายสิบครั้งและทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงกันหาตัวกลางการเจรจาที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับทั้งสองประเทศ ถ้าหากทั้งสองประเทศเจรจาทวิภาคีไม่สำเร็จ UNSC อาจเข้ามาดำเนินการตามประสบการณ์ของผู้เขียน ไทยเราต้องวางแผนเชิงรุก เชิญองค์กรต่างประเทศหรือประเทศที่เป็นมิตรกับไทยมาสังเกตการณ์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงเป็นภาษาอังกฤษไปให้ประชาคมโลกรับรู้ ในขณะเดียวกันก็เจรจาทวิภาคีควบคู่กันไป กรณีพิพาทนี้จะจบลงได้ต่อเมื่อการเจรจาตกลงกันว่าให้มีตัวกลางการเจรจาผู้เจรจาทั้งสองประเทศ ผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศ และสุดท้าย วางกรอบการเจรจา และ Roadmap ของการสิ้นสุดการเจรจา ผู้เขียนคิดว่าทางการไทยคงทราบอยู่แล้ว แต่จะขอเสนอแนวทางของกรอบการเจรจาดังนี้
การเจรจาสันติภาพ ควรมีคณะกรรมการฝ่ายไทย คณะกรรมการฝ่ายกัมพูชา และมีตัวกลางการเจรจา (Facilitator) ที่ได้ตกลงกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการแล้ว
กลุ่มนานาประเทศที่ไม่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ เป็นที่ปรึกษา สังเกตการณ์การเจรจา
คณะกรรมการประสานงานร่วมที่มาจากตัวแทนของไทยและกัมพูชาจำนวนเท่ากัน
ทีมฝ่ายตรวจสอบระหว่างประเทศ เพื่อตรวจสอบดูว่าทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการไปตามกรอบข้อตกลงหรือไม่ นำโดยทีมตัวกลางการเจรจาร่วมกับภาคประชาชน ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายมนุษยธรรมฟื้นฟูและพัฒนา ฝ่ายสังคมและพัฒนาเศรษฐกิจ
หน่วยฟื้นฟูและพัฒนา เช่น Australian Aid For International Development (AUSAID), New Zealand Aid for International Development (NZAID), Canadian International Development Agency (CIDA), United States for International Development (USAID) หรือองค์กรอื่นๆ ที่ทั่วโลกยอมรับ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางการเจรจาส่วนหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้กรอบการตกลงเมื่อวันที่ 28 บรรลุผลและนำไปสู่ Code of Conduct แนวทางปฏิบัติได้ ข้อเสนอของผู้เขียนอาจจะต้องใช้เวลา แต่ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือความร่วมมือของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคง ต้องไปในทิศทางเดียวกัน
สีดา สอนศรี
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สีดา สอนศรี : ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทยประเด็นที่น่าพิจารณา
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th