เอกชน ลุ้นผลนายกฯ ถ้าการเมืองเปลี่ยนขั้ว ฉุดเศรษฐกิจ “ฟื้นช้า”
กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังประธานวุฒิสภา รับคำร้องสมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 02 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธารฯ กรณีคลิปเสียงการสนทนา กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ปัญหาชายแดน
ศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.68 เวลา 09.30 นาฬิกา นัดฟังคําวินิจฉัย เวลา 15.00 นาฬิกา เป็นต้นไป
วันนี้ (20 ส.ค.68) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ประเมินปัจจัยทางการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจในปี 2568 แต่คาดว่าผลกระทบยังไม่รุนแรง เนื่องจากสภาฯ ได้ลงมติผ่านงบประมาณปี 2569 ซึ่งผ่านวาระ 3 ไปแล้ว และไม่มีการยุบสภาฯ รัฐบาลทำงานต่อได้ สะท้อนว่างบฯ ปี 2569 ยังออกได้ในเดือนต.ค. และมีเงินหมุนในระบบแน่นอน
สำหรับการเมืองจะจบอย่างไรได้บ้างนั้น แบ่งเป็น 1.นายกฯ แพทองธารฯ อยู่ต่อ 2.เปลี่ยนนายกฯ 3.เปลี่ยนขั้วรัฐบาลและเปลี่ยนตัวนายกฯ 4.ยุบสภาฯ และรอการเลือกตั้ง เหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นยังคาดเดาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภาฯ และรอการเลือกตั้ง จะทำให้เห็นรัฐบาลชุดใหม่ช้าอย่างน้อย 3 เดือน ด้านการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้เวลาอีก 3-5 เดือน การใช้งบประมาณจะเปลี่ยนเช่นกัน เนื่องจากเมื่อรัฐบาลมีการเปลี่ยนใหม่ งบฯ อาจจะถูกเกลี่ยไปเกลี่ยมา ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันอยู่จะต้องติดตามว่าจะมีการประท้วงทางการเมืองเพิ่มเติมหรือไม่ ภายใต้การนำของนายกฯ พทองธารฯ หากเปลี่ยนนายกฯ แต่ยังเป็นรัฐบาลเดิมจะทำให้ทิศทางการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้นหรือไม่ ส่วนเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปตามการขับเคลื่อนของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานเศรษฐกิจ
หากเปลี่ยนตัวนายกฯ ก็ต้องดูว่ารัฐบาลผสมเป็นอย่างไร งบประมาณจะเคลื่อนตัวตามนโยบายที่เปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่ ล้วนแต่มีผลต่อเศรษฐกิจในแง่ระยะเวลาที่อาจจะช้า หรือเร็วเท่านั้น
“สถานการณ์การเมืองมีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และภาคธุรกิจ รวมถึงชาวต่างชาติหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจจะมีกาะลอการลงทุนและบริโภค ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลีกเลี่ยงไม่ได้”