สื่อฝรั่งแฉ! ข้อตกลงลับเครื่องบินเจ็ตทักษิณ พัวพันนายหน้ามืดของฝ่ายกัมพูชา
อดีตผู้สื่อข่าว นสพ.วอลสตรีทเจอร์นัลแฉภาพ "ทักษิณ ชินวัตร" กับ "เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์" นายหน้าชาวแอฟริกาใต้ ที่เชื่อมโยงชนชั้นนำกัมพูชา ขอซื้อเครื่องบินเจ็ตหรู ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองที่สั่นคลอนประเทศชาติ และทรัพย์สินในเงามืด เสมือนอาวุธเชิงยุทธศาสตร์
วันนี้ (20 ส.ค.) เว็บไซต์ WHALE HUNTING ของนายทอม ไรต์ สื่อมวลชนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ วอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานด้านข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ได้ตีพิมพ์บทความหัวข้อ “RICH LIST: The Fixer, the Jet, and Thaksin’s Shadow Wealth” แปลเป็นภาษาไทยว่า “รายชื่อคนรวย: นายหน้าเถื่อน เครื่องบินเจ็ต และทรัพย์สินลึกลับของทักษิณ” เปิดเผยว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย มีข้อตกลงลับกับ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นายหน้าชาวแอฟริกาใต้ที่มีประวัติอาชญากรรมและเชื่อมโยงกับชนชั้นนำในกัมพูชา เพื่อจัดซื้อเครื่องบินเจ็ตหรู Bombardier Global G7500 ซึ่งปัจจุบันนายทักษิณใช้เดินทางทั่วโลก ทั้งยังชี้ให้เห็นเครือข่ายทรัพย์สินและอิทธิพลทางการเมืองที่ซ่อนเร้น ท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างร้อนแรงต่อสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับผู้นำกัมพูชา
บทความดังกล่าว เมื่อแปลเป็นภาษาไทย ความว่า "ข้อตกลงเครื่องบินเจ็ตอย่างลับๆ ของนายทักษิณ กับผู้ต้องหาคดีอาญาชาวกัมพูชาถูกเปิดเผย ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดน เผยให้เห็นความมั่งคั่งอันเลือนรางอย่างมหาศาลของเขา
ในเดือนเมษายน 2568 การพบปะกันอย่างเงียบๆ ในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ กลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด หนึ่งในผู้เข้าร่วมคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ลี้ภัยและผู้นำตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของไทย เพื่อนร่วมทางของเขาคือ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ชาวแอฟริกาใต้ อาชญากรผู้ต้องโทษที่กำลังหลบหนี และนักต้มตุ๋นชื่อดังของชนชั้นสูงในกัมพูชา
อย่างที่ทราบกันดีว่า นายเมาเออร์เบอร์เกอร์กำลังเจรจาซื้อเครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์ โกลบอล จี7500 เครื่องบินเจ็ตสุดหรูที่นายทักษิณใช้เดินทางทั่วโลก การที่นายทักษิณต้องพึ่งพาบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างนายเมาเออร์เบอร์เกอร์ ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับองค์กรใต้ดินระหว่างประเทศที่มีรากฐานที่ลึกซึ้งในกัมพูชา
การเปิดเผยความสัมพันธ์ครั้งใหม่ระหว่างนายทักษิณและกัมพูชาครั้งนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองที่สั่นคลอนประเทศชาติ ระหว่างความขัดแย้งชายแดนที่ตึงเครียดกับกัมพูชา สายโทรศัพท์ที่รั่วไหลออกมาได้เปิดโปงบทสนทนาที่ “สนิทสนม” ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บุตรสาวของนายทักษิณ กับนายฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาผู้ทรงอิทธิพล การสนทนาที่คุ้นเคยและเป็นกันเองในช่วงเวลาที่ตึงเครียดทั่วประเทศ ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน และตอกย้ำความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างนายทักษิณกับกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เขาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน รายละเอียดล่าสุดนี้ การพึ่งพาผู้แก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชนชั้นนำผู้ทรงอิทธิพลของกัมพูชา ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความมั่งคั่งมหาศาลและคลุมเครือของเขา
นี่คือเรื่องราวของอาณาจักรที่ซ่อนเร้น เครือข่ายอันซับซ้อนของการถือครองทรัพย์สินของครอบครัวและธุรกิจระดับโลก ที่ยังคงวาดภาพความมั่งคั่งของเขาให้ยิ่งใหญ่กว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการล่าสุด เรื่องนี้ตอกย้ำความจริงสำคัญของอำนาจไทย นั่นคือ เงินไม่ใช่แค่รางวัลสำหรับความสำเร็จเท่านั้น แต่มันคือสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ เรามุ่งมั่นที่จะประเมินฐานะทางการเงินของเขาอีกครั้ง และแสดงให้เห็นว่าการกระทำอันคลุมเครือของนายทักษิณเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ไม่อาจตรวจสอบได้ของเขา"
ในบทความดังกล่าว ระบุว่า มูลค่าทรัพย์สินของนายทักษิณ เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงมาโดยตลอด ข้อมูลจากนิตยสารฟอรบส์ (Forbes) เมื่อปี 2549 ประเมินไว้ที่ราว 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อ้างอิงจากหุ้นของนายทักษิณในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป บริษัทโทรคมนาคมที่นายทักษิณก่อตั้งขึ้น ซึ่งความมั่งคั่งหลักมาจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ในปีเดียวกัน มูลค่า 73,300 ล้านบาท ข้อตกลงดังกล่าวได้รับสิทธิปลอดภาษีตามช่องโหว่ของกฎหมาย จุดกระแสไม่พอใจจากสังคม ขณะที่นายทักษิณได้กำไรมหาศาล
หลังรัฐประหาร ก.ย. 2549 รัฐบาลทหารสั่งอายัดทรัพย์ตระกูลชินวัตรในไทยกว่า 76,000 ล้านบาท และในปี 2553 ศาลฎีกาพิพากษายึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ฐานใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป แต่คืนบางส่วนที่ได้มาก่อนเข้าสู่วงการการเมือง แม้สูญเสียทรัพย์สินส่วนใหญ่ในไทย แต่นายทักษิณยังคงเหลือฐานะการเงินที่ซับซ้อน โดยมีรายงานว่า ก่อนการรัฐประหาร เขาได้ลำเลียงกระเป๋า 114 ใบออกนอกประเทศ ผ่านเครื่องบินส่วนตัว 2 ลำ ซึ่งเชื่อว่าบรรทุกทรัพย์สินจำนวนมาก
นายทอมชี้ว่า ทรัพย์สินของนายทักษิณไม่ได้หายไป แต่ออกจากบัญชีทรัพย์สินสู่เครือข่ายธุรกิจนอกประเทศผ่านการลงทุน การใช้บริษัทบังหน้า และตัวแทนที่ไว้ใจได้ เพื่อปกป้องความมั่งคั่งจากการตรวจสอบ ขยายเป็นจักรวรรดิในเงามืดที่ยังคงดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน
หลังจากหลบหนีออกจากประเทศไทย นายทักษิณ ใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐีที่ถูกเนรเทศ เดินทางไปทั่วโลก โดยก้าวแรกที่สร้างความฮือฮาคือการซื้อสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษ เมื่อปี 2550 มูลค่า 82 ล้านปอนด์ ก่อนจะขายต่อให้นักลงทุนจากราชวงศ์อาบูดาบีในหนึ่งปีถัดมาด้วยราคา 210 ล้านปอนด์ ทำกำไรหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ชำระหนี้ก็ตาม
ในช่วงนั้น นายทักษิณยังครอบครองเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Bombardier Global Express สะท้อนความมั่งคั่งที่ยังคงต่อเนื่อง จากฐานที่มั่นในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งเขาได้รับสัญชาติ อดีตนายกฯ ไทยหันไปลงทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติในแอฟริกา เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวในปี 2553 ว่า “ผมอยู่ในแอฟริกาเพื่อทำเหมืองเพชร” พร้อมเดินทางไปเหมืองในประเทศซิมบับเว อูกันดา และแทนซาเนีย ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ยืนยันว่า นายทักษิณได้รับสัมปทานเหมืองในประเทศแอฟริกาอย่างน้อย 3 แห่ง
หนึ่งในเครือข่ายสำคัญของนายทักษิณ คือความสัมพันธ์กับกัมพูชา โดยในปี 2552 นายฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา แต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และให้ที่ลี้ภัยระหว่างการหลบหนีออกนอกประเทศ ท่ามกลางข่าวลือยาวนานว่า นายทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจคาสิโนในกัมพูชา โดยเฉพาะในเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ที่คาสิโนจำนวนมากมุ่งเป้านักพนันชาวไทย ซึ่งนายก๊ก อาน เป็นเจ้าของ Crown Casinos ในปอยเปต
ความสัมพันธ์ดังกล่าวกลับเลวร้ายลงในปี 2568 หลังการสนทนาทางโทรศัพท์รั่วไหลระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับนายฮุน เซน ซึ่งเจ้าตัวขู่จะเปิดโปงการทรยศ และธุรกรรมลับของนายทักษิณ ขณะที่อดีตนายกฯ โต้กลับ กล่าวหากัมพูชาว่าเอื้อประโยชน์แก่ขบวนการหลอกลวงคนไทยผ่านคาสิโน ต่อมาไม่นาน ตำรวจไทยจู่โจมเป้าหมายของนายก๊ก อาน ยึดและอายัดทรัพย์สินในไทยมูลค่า 1,170 ล้านบาท ถูกมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ใช้อำนาจรัฐต่อต้านเครือข่ายทางการเงินของคู่แข่งทางการเมือง
นอกจากนี้ การหารือเมื่อเดือน เม.ย. 2568 ระหว่างนายทักษิณกับนายเมาเออร์เบอร์เกอร์ ยังถูกโยงกับเครือข่ายในกัมพูชา ซึ่งเกี่ยวพันกับนายยิม ลีก (Yim Leak) ประธานกลุ่ม B.I.C. และพันธมิตรใกล้ชิดของนายฮุน เซน โดยมีหลักฐานว่าบริษัทในไทยที่เชื่อมโยงกับ B.I.C. ใช้เงินกว่า 20.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซื้อคอนโดหรูในแมนฮัตตัน ผ่านเครือข่ายที่มีหุ้นส่วนของนายเมาเออร์เบอร์เกอร์เป็นผู้เกี่ยวข้อง นักวิเคราะห์ชี้ว่า การเชื่อมโยงเหล่านี้สะท้อนความพยายามของทักษิณในการใช้โครงข่ายการเงินในกัมพูชาเพื่อจัดการซื้อเครื่องบินและทรัพย์สินมูลค่าสูง โดยไม่ให้ชื่อของเขาปรากฏในเอกสารอย่างเป็นทางการ
รายงานของ ทอม ไรต์ ระบุว่า ส่วนสำคัญของความมั่งคั่งของนายทักษิณ มาจากเครือข่ายครอบครัวที่ทำงานเสมือนกลุ่มการเงินเดียวกัน โดยมีสมาชิกแต่ละคนดูแลธุรกิจในสาขาต่างๆ เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยเป็นนายกรัฐมนตรี และผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งยังอยู่ในการควบคุมของครอบครัวชินวัตร, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ถือทรัพย์สินที่ประกาศ 4,000 ล้านบาท แต่แท้จริงครอบครัวมีสัดส่วนหุ้นในเอสซี แอสเสท และธุรกิจอื่นๆ มูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนรอง ดูแลการลงทุนเทคโนโลยีและฟินเทค มีรายงานว่าได้เคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สกุลเงินดิจิทัลเพื่อป้องกันความเสี่ยง ส่วน นางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมรีสอร์ท เช่น เทมส์ วัลเลย์ เขาใหญ่ ขณะที่ครอบครัวยังถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลพระรามเก้า และสนามกอล์ฟอัลไพน์ หุ้นอยู่ในชื่อของลูกนายทักษิณ แม้กระทั่งคนขับรถส่วนตัวของเขาเพื่อใช้ช่องโหว่ทางภาษี เป็นรูปแบบการปกปิดทรัพย์สินที่ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน
รายงานของนายทอมชี้ว่า กลยุทธ์ปกปิดทรัพย์สินของนายทักษิณคล้ายกับนักธุรกิจกลุ่มโอลิการ์ค (Oligarchs) ในต่างประเทศ เช่น ใช้บริษัทนอมินีในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น และดูไบ, การถือครองทางอ้อมผ่านนายหน้าต่างชาติอย่างนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ รวมถึงพึ่งพาพันธมิตรต่างชาติและการถือหลายสัญชาติ เช่น มอนเตเนโกร ทำให้นายทักษิณสามารถจดทะเบียนบริษัทในยุโรปและเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของไทย
จากการประเมินฐานะการเงินปี 2025 พบว่านายทักษิณมีสินทรัพย์ที่ตรวจสอบได้ราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น ศาลคืนทรัพย์สิน 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, กำไรจากการขายสโมสรแมนฯ ซิตี้ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, หุ้นสามัญโรงพยาบาลพระรามเก้า และเอสซี แอสเสท ของครอบครัวชินวัตร 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อสังหาริมทรัพย์ไทยและธุรกิจเอกชนอีกกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่ยังมีทรัพย์สินในเงาอีก 1 พัน ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น กิจการเหมืองในแอฟริกา ทรัพย์สินในกัมพูชาที่สงสัยผ่านตัวแทน อสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศที่ลอนดอน ดูไบ มอนเตเนโกร ฝูงเครื่องบินหรู เงินทุนนอกชายฝั่งที่ไม่เคยถูกระงับธุรกรรมทางการเงินจากการขายหุ้นชินคอร์ป และทุนสำรองอย่างทองคำและการถือครองสกุลเงินดิจิทัล รวมมูลค่าสุทธิจริง 2.5-3.5 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นิตยสารฟอร์บส์ประเมิน และอยู่ในลำดับต้นๆ ของผู้นำการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ของนายทักษิณ ไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเมืองไทยมายาวนาน ทั้งการหาเสียงโครงการประชานิยม และสนับสนุนทางการเงินในการชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน จึงอธิบายได้ว่าทำไมแม้นายทักษิณเผชิญรัฐประหารสองครั้งและหลายคดีความ ตระกูลชินวัตรยังคงเป็นพลังการเมืองหลักของไทย สะท้อนปัญหาความรับผิดชอบของชนชั้นนำ ขณะที่การขึ้นสู่อำนาจของ น.ส.แพทองธาร ยิ่งเพิ่มคำถามเรื่องนโยบายรัฐที่จะเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจครอบครัว หากนายทักษิณถือทรัพย์สินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จริง ย่อมบั่นทอนความยุติธรรมของการเลือกตั้ง และสะท้อนวงจรทุจริตที่ยังดำรงอยู่
นอกจากนี้ ความมั่งคั่งเงายังเป็นปัจจัยความไม่มั่นคงระดับภูมิภาค เมื่อผู้นำประเทศมีทรัพย์สินส่วนตัวที่พัวพันกัน ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ จุดประกายให้เกิดความขัดแย้งแบบติดอาวุธได้ การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ทวีความรุนแรงขึ้น จากความบาดหมางส่วนตัวระหว่างนายทักษิณ และนายฮุน เซน กลายเป็นเครื่องต่อรองทางการทูต เมื่อแต่ละฝ่ายขู่ว่าจะเปิดเผยความลับทางการเงินของอีกฝ่าย
การทำแผนที่จักรวรรดิธุรกิจของ ทักษิณ ชินวัตร เท่ากับการทำแผนที่เครือข่ายคอร์รัปชันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเอื้อกิจกรรมผิดกฎหมายตั้งแต่ศูนย์คอลเซ็นเตอร์หลอกลวง การพนัน ไปจนถึงการฟอกเงิน ความมั่งคั่งของนายทักษิณส่วนหนึ่งมาอย่างถูกกฎหมาย และส่วนหนึ่งมาอย่างผิดกฎหมาย โดยมีธนาคารในฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และเขตนอกอำนาจศาลอื่นๆ ถูกตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ หากเงินทุนของนายทักษิณเคลื่อนผ่านธนาคารระหว่างประเทศ การควบคุมการป้องกันการฟอกเงินถูกกระตุ้นหรือถูกเพิกเฉย
การพบปะกับนายหน้าที่มีประวัติอาชญากรรมเพื่อจัดซื้อเครื่องบินหรูในปี 2025 เป็นภาพสะท้อนการทำงานของอำนาจในภูมิภาค ซึ่งอาศัยตัวแทนและเครือข่ายข้ามพรมแดนที่อยู่นอกการบังคับใช้กฎหมาย ประเด็นที่ว่า จะปล่อยให้นายทักษิณเก็บทรัพย์สินหลักพันล้าน และใช้อิทธิพลเหนือการเมืองไทยต่อไป หรือจะมีแรงกดดันให้ตรวจสอบ ถูกชี้ว่าเป็นหัวใจของการปฏิรูปประเทศในอนาคต สิ่งที่แน่ชัดคือ การติดตามเส้นทางเงินทุนของนายทักษิณ คือกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจโครงสร้างอำนาจการเมืองไทยในปัจจุบัน
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO