‘สี จิ้นผิง’ เยือนทิเบต ตอกย้ำ ‘อำนาจจีน’ เหนือดินแดนหลังคาโลก
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เซอร์ไพรส์เยือนทิเบต เรียกร้องความเป็นหนึ่งน้ำหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมปรากฏตัวต่อสาธารณชนกว่า 20,000 คน เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี นับตั้งแต่จีนผนวกดินแดนนี้และก่อตั้งเป็นเขตปกครองตนเองทิเบต
การเยือนลาซา (Lhasa) เมืองที่อยู่จากระดับน้ำทะเลเกือบ 4,000 เมตรซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปธน.จีนวัย 72 ปีนั้น แสดงให้เห็นถึงความปราถนาที่จะ “ตอกย้ำอำนาจ” ของตนในภูมิภาคนี้
ในการเยือนทิเบตครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีสีได้กล่าวยกย่องรัฐบาลท้องถิ่นที่ “เข้าร่วมการต่อสู้แบ่งแยกดินแดน” ซึ่งหมายถึงการต่อต้านรัฐบาลปักกิ่งของชาวทิเบตที่มีมานานหลายสิบปี
“สำหรับรัฐบาล ความมั่นคงและการพัฒนาทิเบต คือสิ่งสำคัญอย่างแรกในการรักษาความมั่นคงทางการเมือง ความมั่นคงทางสังคม ความเป็นหนึ่งเดียวทางชาติพันธุ์และศาสนา” สีกล่าว
การเยือนทิเบตในวันพุธ (20 ส.ค.) มีขึ้นสองเดือนหลังจากทะไลลามะ ประกาศว่าสำนักงานของตนจะเป็นผู้เลือกผู้สืบทอดองค์ต่อไป ไม่ใช่จีน ขณะที่บรรดาผู้นำระดับสูงของจีนอ้างว่าพวกเขามีอำนาจเพียงฝ่ายเดียวในการตัดสินใจเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม การกล่าวสุนทรพจน์ของสีไม่ได้ระบุถึง “ทะไลลามะ” ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตที่ลี้ภัยไปอยู่อินเดียตั้งแต่ปี 1959 และจีนมองว่าเขาเป็นผู้แบ่งแยกดินแดน
การเยือนทิเบตสุดเซอร์ไพรส์ของสี จิ้นผิงครั้งนี้ เป็นข่าวใหญ่ในทุกสื่อรัฐบาลทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ในวันพฤหัสบดี (21 ส.ค.) และภาพที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ แสดงให้เห็นภาพสีได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวทิเบต นักเต้นรำชาวทิเบต และฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์
ส่วนในการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีจีนได้กล่าวสนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และบุคลากรในระดับทวิภาคีกับทิเบต รวมถึงการส่งเสริมให้ใช้ภาษาและตัวอักษรจีนกลางอย่างแพร่หลาย
นอกจากนี้ สื่อทางการจีนรายงานด้วยว่า สี จิ้นผิง ยังได้กล่าวสรุปวิสัยทัศน์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อทิเบตและเน้นย้ำถึงภารกิจสำคัญ 4 ประการของภูมิภาค ได้แก่ การสร้างเสถียรภาพ การอำนวยความสะดวกในการพัฒนาด้านต่างๆ การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการเสริมแกร่งพรมแดน
ทั้งนี้ นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมกฎหมายใหม่ที่ให้ควบคุมการศึกษาของเด็กชาวทิเบตด้วย ซึ่งปัจจุบันเด็กๆ ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลจีนและเรียนภาษาจีนกลาง
ปธน.สียังเรียกร้องให้มีการควบคุม “กิจการทางศาสนา” เข้มงวดมากขึ้น และจำเป็นต้องผลักดันให้พุทธศาสนาแบบทิเบตปรับตัวเข้ากับสังคมสังคมนิยม”
อ้างอิง: BBC