โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

คนไทยบริจาคแล้วจบ ไม่ตามต่อว่าเงินไปไหน ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันชี้ เป็นช่องโหว่ ‘สะพานบุญ’ เอาเงินไปใช้เอง

The Momentum

อัพเดต 18 สิงหาคม 2568 เวลา 23.52 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE MOMENTUM

สะพานบุญหรือมิจฉาชีพ?

คงเป็นคำถามในใจของใครหลายคนที่ได้เห็นข่าวกรณีของ ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ หรือเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ที่หลายคนเชื่อว่าสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ หลังพบพิรุธการระดมทุนขอรับบริจาคจากพุทธศาสนิกชนให้กับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ในฐานะการเป็น ‘สะพานบุญ’

ทูตสื่อวิญญาณรายนี้ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติกรรมที่พยายามทำหน้าที่เป็นสะพานบุญโดย ‘เลี่ยง’ การตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยใช้วิธีการบริจาคเป็นเงินสด ซึ่งเจ้าตัวให้เหตุผลว่า เพื่อความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินบริจาคของวัด ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นบ้านและรถ ว่ามาจากเงินของคณะศรัทธาที่ต้องการถวายให้กับวัด แต่กลับถูกหักเอาไปใช้ส่วนตัวหรือไม่

นอกจากหมอบีแล้ว วัดพระบาทน้ำพุยังถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับเงินบริจาค ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว และมีการ ‘ฮั้ว’ กันระหว่างเจ้าอาวาสกับสะพานบุญที่ตกลงหักเงินบริจาคเข้ากระเป๋าหรือไม่

คำถามคือ ช่องโหว่ของการบริจาคเงินให้กับสะพานบุญคืออะไร เงินบริจาคที่หลั่งไหลเข้าไปยังสะพานบุญด้วยความศรัทธาจำนวนมหาศาล มีกระบวนการการตรวจสอบหรือไม่ วิธีใดจะแก้ปัญหาและอุดช่องโหว่

The Momentum พูดคุยกับ มานะ นิมิตรมงคลประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เพื่อหาคำตอบและทางออกของปัญหานี้

มานะระบุว่า กลุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นสะพานบุญ มักจะเป็นผู้ที่คลุกคลีกับแวดวงการทำบุญ เช่นกับวัดหรือองค์กรการกุศลต่างๆ โดยจะดำเนินการเปิดรับเงินบริจาคและเสนอตัวเป็น ‘ตัวแทน’ ในการนำเงินส่งต่อไปให้กับวัดที่เข้าร่วมโครงการกับสะพานบุญในการรับบริจาคครั้งนั้นๆ

ซึ่งกลุ่มสะพานบุญอาจจะเล็งเห็นช่องทางในการหาผลประโยชน์ จากการเป็นประตูบานแรกในการรับเงินบริจาค และอาจจะกลายเป็น ‘สะพานบุญแอบแฝง’ หักเงินบริจาคเข้ากระเป๋าตนเอง ทำให้เงินไปถึงปลายทางไม่ครบจำนวนเงินที่บริจาคเข้ามาทั้งหมด

“คนกลุ่มนี้มักจะเลือกเป็นสะพานบุญให้กับวัดขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะสามารถเอาชื่อเสียงของวัดหรือแม้แต่ชื่อเสียงของพระในวัดไปหากินต่อได้ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปที่วัดหรือไม่จำเป็นต้องเอาพระรูปนั้นๆ ที่มีชื่อเสียงมาปรากฏตัวก็ได้ เนื่องจากคนที่มีความเชื่อความศรัทธาเขาพร้อมที่จะบริจาคเงินให้อยู่แล้ว”

มานะระบุต่อว่า กลุ่มสะพานบุญพยายามพูดให้ผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธามองเห็นว่า หลังจากบริจาคกับเขาแล้วจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน เช่น การบอกว่าทำบุญด้วยการบริจาคสิ่งนี้ จะได้อะไรเป็นการตอบแทนที่มีผลต่อชีวิตและอนาคต เพื่อให้ผู้ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะบริจาคหรือไม่บริจาค เลือกที่จะมาบริจาคกับตนเอง

ด้านพฤติกรรมของผู้ที่มีจิตศรัทธาหลังบริจาคเงินไปแล้ว มานะชี้ว่า มักจะ ‘ไม่สนใจ’ ว่าเงินที่บริจาคไปมีเส้นทางอย่างไร และถูกใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่

“เพราะความบริสุทธิ์ใจ มองว่าเมื่อบริจาคเงินไปแล้วก็ถือว่าได้รับบุญกุศลมาแล้ว ผู้ที่เอาเงินไปจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา” ซึ่งพฤติกรรมนี้อาจเป็น ‘ช่องโหว่’ ให้สะพานบุญนำเงินไปใช้ในบริบทอื่นซึ่งแตกต่างจากรายละเอียดที่แจ้งแก่ผู้บริจาค

ทั้งนี้การตรวจสอบไม่ได้เป็นหน้าที่ของประชาชนแต่เพียงผู้เดียว ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มองว่า การตรวจสอบเส้นทางของเงินบริจาคว่า มีปลายทางตรงตามที่สะพานบุญระบุเอาไว้ในการเชิญชวนให้ร่วมบริจาคหรือไม่ เป็นหน้าที่ของ ‘รัฐ’ ที่จะเข้ามาตรวจสอบว่า มีการฉ้อฉลหรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการและกลไกทางกฎหมาย ที่จะเข้ามาตรวจสอบหรือกำกับการทำหน้าที่ของผู้ระดมทุนที่ชัดเจน

เมื่อถามว่า พฤติกรรมของนักระดมทุนที่มีการ ‘หักเปอร์เซ็นต์’ จากเงินที่ได้รับบริจาค และนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นนอกจากที่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดแรกที่แจ้งนั้น มานะชี้ว่า มีความคล้ายกับองค์กรระดมทุนทั่วๆ ไป เช่น องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา (UNICEF USA) ที่จะใช้ร้อยละ 88 ของเงินบริจาคตามวัตถุประสงค์ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 12 เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับระดมทุนร้อยละ 8 และค่าใช้จ่ายในการบริหารร้อยละ 3 ซึ่งในกรณีของเสกสันน์หรือหมอบีมีการบริจาคให้กับวัดพระบาทน้ำพุร้อยละ 70 และอีกร้อยละ 30 เป็นค่าดำเนินการ ซึ่งเขามองว่า ‘ไม่ผิด’ และไม่นับว่าเป็นมิจฉาชีพ หากมีการแจ้งกับผู้ร่วมบริจาคชัดเจน

“ถ้าประชาชนผู้ที่บริจาคเขารู้มันก็จะไม่ใช่การฉ้อโกง แต่ถ้าเขาไม่รู้มันก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย” มานะระบุ “ฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะรณรงค์ให้เกิดขึ้นคือเราจะควบคุมอย่างไร”

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เสนอว่า ในบริบทการทำบุญและการระดมทุนเพื่อองค์กรการกุศลในปัจจุบันควรใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตรวจสอบได้ และป้องกันช่องโหว่ของการใช้เงินบริจาคอย่างผิดวัตถุประสงค์ของผู้ระดมทุน ด้วยการโอนบริจาคโดยตรงไปยังปลายทางคือผู้รับบริจาค

“เราต้องลืมวิธีการบริจาคแบบเก่าๆ ผมเสนอให้บริจาคผ่านระบบ e-Donation ออกแบบให้เป็นระบบที่สามารถควบคุมได้ มีความชัดเจน สะดวก และให้ประชาชนสามารถนำการบริจาคมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ แบบนี้จะเกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้บริจาคและผู้รับบริจาคมากกว่า ทันสมัย และยังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริจาคมากกว่าด้วย” มานะกล่าว

อ้างอิง

https://www.unicefusa.org/about-unicef-usa/finances/financial-disclosure/charity-watchdog-ratings

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The Momentum

รัฐบาลหนุนอีเวนต์ระดับโลก ดึง F1 แข่งในไทย สร้างจุดขายใหม่ให้กับประเทศ

21 นาทีที่แล้ว

เมียนมาเคาะวันเลือกตั้งเฟสแรก 28 ธันวาคมนี้ พร้อม 55 พรรคการเมือง แม้ผู้เชี่ยวชาญกังขา ‘ความเป็นประชาธิปไตย’

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

สมเด็จพระสังฆราช เสด็จประทับ รพ.ศิริราช ชั่วคราว กำหนดเสด็จกลับ 19 ส.ค.

ไทยโพสต์

สนั่น! สตง. คว้าอันดับ1 ความโปร่งใส กลุ่มองค์กรอิสระ ผลการประเมิน ITA 94.64 คะแนน

MATICHON ONLINE

"สำนักเลขาฯ" ออกประกาศ "สมเด็จพระสังฆราช" เสด็จไปประทับโรงพยาบาลศิริราช

สยามรัฐ

สส.ปชน.แจ้งความปมซื้อเสียง 10โล รู้แล้วเป็นใคร โต้ ‘วิสุทธิ์’ เสพข่าวให้ครอบคลุม

Khaosod

‘กรมลดโลกร้อน’ จัดครบรอบ 2 ปีเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ

เดลินิวส์

สตง.แชมป์องค์กรอิสระโปร่งใส ITA68 กกต.ที่ 2 ป.ป.ช.ที่ 3

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ยกเลิก ‘ยศพระ’ ดีไหม เมื่อสิ่งที่ทำลายพระสงฆ์มากที่สุด หนีไม่พ้น ‘สมณศักดิ์

The Momentum

ร่างทรงเควียร์ พิธีกรรม ผี เพศ และศรัทธา ของชาติพันธุ์กูย

The Momentum

พุทธศาสนาไทยอาจอยู่ไม่ถึง 5 พันปี? มองช่องโหว่ การยักยอก ฟอกเงิน ของ ‘วัดไทย’ หลังมีเงินสะพัดหลักล้าน แต่ไร้การตรวจสอบ

The Momentum
ดูเพิ่ม