โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘ภูมิธรรม’สั่ง ศบ.ทก.-คค.-กสทช. แก้ “โดรน” ปริศนา-ครม.ควักเงิน ธ.ก.ส. 4.5 หมื่นล้าน แจกชาวนาไร่ละพัน

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

  • ‘ภูมิธรรม’สั่ง ศบ.ทก.-คค.-กสทช. แก้ “โดรน” ปริศนาเพิ่มผิดปกติ
  • สั่งกองทุนสำนักนายกฯ เยียวยาผลกระทบไทย-กัมพูชา
  • จี้ มท.เร่งติดตั้งน้ำ-ไฟ ช่วย ปชช.รอพิสูจน์สิทธิรุกที่หลวง
  • มติ ครม.ควักเงิน ธ.ก.ส. 4.5 หมื่นล้าน พยุงราคาข้าว – แจกไร่ละพัน
  • อนุมัติสินเชื่อพยุงราคาข้าวเปลือกปี 2568/69 วงเงิน 61,697 ล้าน
  • ควบรวม บสย.ตั้ง ‘NaCGA’ ทุนหมื่นล้าน ลุยค้ำ SMEs
  • กฟผ.พัฒนาสายส่ง ‘แพร่-น่าน-อุตรดิตถ์’ รองรับไฟฟ้า สปป.ลาว
  • กพอ.ไฟเขียว ‘BGRIM’ ตั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 18 MW ใน EECa
  • ไฟเขียว ปตท.สผ.รับสิทธิสำรวจ ‘แหล่งก๊าซเอราวัณ’ 100%
  • โยก ‘ดนุชา’ นั่งเลขา สนทช. ‘พชร’ ปลัด DES

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายภูมิธรรมได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีรายละเอียดดังนี้

สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา

1. รัฐบาลได้ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง และยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ ได้แก่

1.1 การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งได้เริ่มแล้วโดยกองทัพภาคที่ 1 และกำลังจะดำเนินการโดยกองทัพภาคที่ 2

1.2 การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ได้กำหนดประชุมระหว่างวันที่ 8 – 10 กันยายน 2568 ที่จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

1.3 การดำเนินการสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) โดยทูตทหาร ASEAN แต่ละประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วานนี้ (จันทร์ที่ 18 สิงหาคม)

สั่ง ศบ.ทก.-คค.-กสทช. แก้ “โดรน” ปริศนาเพิ่มผิดปกติ

2. ขณะนี้ ยังมีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่ามีอากาศยานไร้คนขับ หรือ “โดรน” แปลกปลอมเพิ่มขึ้นมากจนผิดปกติ ขอให้ ศบ.ทก ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม และ กสทช. กำหนดมาตรการที่เหมาะสม และแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน

3. ศูนย์พักพิงชั่วคราวในจังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบ ขณะนี้ได้ปิดลงแล้ว ประชาชนได้เดินทางกลับเข้าบ้านพักแล้ว ให้พื้นที่สรุปและสำรวจการให้ความช่วยเหลือต่อไป

สั่งกองทุนสำนักนายกฯ เยียวยาผลกระทบไทย-กัมพูชาต่อ

4. การเยียวยาตามมติคณะรัฐมนตรี ให้แก่ทหารและพลเรือนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บได้ดำเนินการแล้ว รวมถึงบ้านเรือนที่เสียหายก็ได้รับการช่วยเหลือซ่อมแซมตามลำดับ สำหรับการดูแลด้านจิตใจ กระทรวงสาธารณสุขต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ส่วนการเยียวยานอกเหนือจากนั้น ได้สั่งการให้คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินการต่อไป

5. เรื่องสงครามข่าวสาร ซึ่งมีการสร้างข่าวเท็จ และสร้างสถานการณ์ ตลอดจนมีข่าวปลอม หรือ “Fake news” ถึงแม้ประเทศไทยจะมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารและแสดงความเห็น แต่ขณะนี้เราต้องการความสามัคคีภายในประเทศ จึงขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ด้านการสื่อสารมวลชนทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกับ ศบ.ทก. ตรวจสอบขจัด Fake news ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และไม่เป็นผู้ขยายผลเสียเอง โดยประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสหรือตรวจสอบผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center: AFNC)

จี้ มท.เร่งติดตั้งน้ำ-ไฟ ช่วย ปชช.รอพิสูจน์สิทธิรุกที่หลวง

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ข้อสั่งการ เรื่องการติดตามการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ ดังนี้ จากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีการเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 ว่า กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ได้ผ่อนปรนให้ประชาชนผู้ได้รับทะเบียนบ้านชั่วคราว ซึ่งออกให้กับที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างขึ้นในที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดิน สามารถขอใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาได้ในอัตราค่าบริการที่เหมาะสมนั้น โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เร่งรัดขั้นตอนในการพิสูจน์สิทธิ เพื่อแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว ตลอดจนกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กระทรวงมหาดไทย สภาพัฒน์ฯ ได้มีความเห็นสนับสนุนการดำเนินการ ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า การดำเนินการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ล่วงเลยจนมาถึงปัจจุบัน ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้ จึงมีข้อสั่งการดังนี้

1. ให้ สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 มกราคม 2567 ตลอดจนนำความเห็นประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เสนอต่อ สคทช. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 เพื่อดำเนินการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

2. ให้สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีการประชุมเพื่อติดตาม และรวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ทำให้เกิดความล่าช้า ตลอดจนกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ เพื่อนำมาเสนอต่อที่ประชุมครม. ในครั้งต่อไป

มติ ครม.มีดังนี้

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษก ฯ , นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษก ฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

ควักเงิน ธ.ก.ส. 4.5 หมื่นล้าน – แจกไร่ละพัน

1. อนุมัติยกเว้นการไม่ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 (เรื่อง การจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร) ในกรณีให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร เฉพาะสินค้าข้าว

2. เห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 (โครงการฯ นาปรัง ปี 2568) และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 (โครงการฯ นาปีปีการผลิต 2568/69) และการใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายการดำเนินงานตามโครงการทั้ง 2 โครงการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 45,204 ล้านบาท ดังนี้

2.1 โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 วงเงิน 7,286.77 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการช่วยเหลือข้าวนาปรัง เฉพาะปี 2568 เท่านั้น

2.2 โครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 วงเงิน 37,917.23 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป

นายอนุกูล กล่าวว่า โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 และโครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 ที่ กษ. เสนอในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ และวิธีการดำเนินงานในลักษณะเช่นเดียวกับ โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

  • โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพ และคุณภาพของการผลิตข้าว กลุ่มเป้าหมาย 0.861 ล้านครัวเรือน จากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ 5.491 ล้านครัวเรือน โดยเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ
  • โครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว กลุ่มเป้าหมาย 4.63 ล้านครัวเรือน จากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ 5.491 ล้านครัวเรือน โดยเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ

ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า หลังจากที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท แล้ว ตามแผนงานก็จะต้องนำเรื่องเสนอบอร์ด ธ.ก.ส.อนุมัติในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ คาดว่าจะสามารถโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรที่มีสิทธิได้ไม่เกิน 3 วัน

อนุมัติสินเชื่อพยุงราคาข้าวเปลือกปี 2568/69 วงเงิน 61,697 ล้าน

นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ วงเงินรวมทั้งสิ้น 61,697.06 ล้านบาท จำแนกเป็นวงเงินสินเชื่อ 51,232.50 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 10,464.56 ล้านบาท ตามที่ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้

1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 45,398.81 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 36,232.50 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 9,166.31 ล้านบาท จำแนกวงเงินจ่ายขาดเป็น (1) ค่าฝากเก็บ 4,500 ล้านบาท (2) วงเงินชดเชย 2,130.04 ล้านบาท และ (3) กรณีมีการระบายข้าวโครงการฯ รัฐจ่ายคืนและชดเชยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 2,536.27 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป

2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต2568/69 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 15,656.25 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 656.25 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป

3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ปีการผลิต 2568/69 วงเงินรวมทั้งสิ้น 642 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้กรมการค้าภายในเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป

ออมสิน – ธ.ก.ส. – บสย. เสริมสภาพคล่องเรือประมง 630 ล้าน

นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้

1. โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ระยะที่ 3

2. กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการโครงการ จำนวน 630.64 ล้านบาท ประกอบด้วย

2.1 ค่าชดเชยดอกเบี้ย จำนวน 630 ล้าน ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน จำนวน 420 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 210 ล้านบาท (ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการฯ)

2.2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ จำนวน 0.64 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชี้แจงประชาสัมพันธ์ และติดตามโครงการ (เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมประมง)

นายอนุกูล กล่าวส่า โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ระยะที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทำการประมง โดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และพื้นบ้านซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • ธนาคารออมสิน

  • เป้าหมาย สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้านที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ

  • ระยะเวลา ระยะเวลาโครงการฯ 7 ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการฯ

  • ระยะเวลาการยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ 6 ปี หรือภายในกรอบวงเงินสินเชื่อตามที่กำหนด แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน

  • กำหนดชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 7 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้เงิน แต่ไม่เกินระยะเวลาโครงการฯ

  • ประเภทสินเชื่อ เงินกู้ระยะสั้น ตามตั๋วสัญญาใช้เงินหรืออื่น ๆ ตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ และเงินกู้ระยะยาว เพื่อเป็นเงินทุนในการปรับปรุงเรือประมง ปรับเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ทำการประมง

  • วงเงินสินเชื่อ 2,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาด (1) ตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป และ (2) ตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป และต่ำกว่า 60 ตันกรอส โดยประสงค์ใช้เรือประมงทั้งสองขนาดขอรับสินเชื่อกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง และ ให้กู้สูงสุดไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อไม่นับรวมโครงการฯ ระยะที่ 1 และโครงการฯ ระยะที่ 2

  • อัตราดอกเบี้ย ค่าชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยเรียกเก็บจากผู้กู้ อัตราร้อยละ 4 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยให้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้เงิน แต่ไม่เกินระยะเวลาโครงการฯ

  • งบประมาณ (1) วงเงินชดเชยดอกเบี้ย 420 ล้านบาท (2,000 ล้านบาท x ร้อยละ 3 x 7 ปี) และ (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชุมชี้แจง ประชาสัมพันธ์ ติดตามและประเมินผลโครงการฯ รวมเป็นวงเงินดำเนินงาน 0.64 ล้านบาท

หมายเหตุ ให้ธนาคารออมสินสามารถนำค่าใช้จ่ายในการกันสำรองที่เกิดขึ้นจากโครงการฯ เพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้ และให้ธนาคารออมสิน ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ และให้แยกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการฯ ออกจากการดำเนินงานปกติภายใต้ระบบบัญชี PSA (Public Service Account)

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ให้ผู้ประกอบการประมงที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนสินเชื่อติดต่อขอสินเชื่อกับธนาคารตามขนาดเรือประมงที่มี (ตามหัวข้อวงเงินสินเชื่อ) โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

(1) คุณสมบัติของผู้ประกอบการประมงที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ (1.1) เป็นบุคคลธรรมดาอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย (1.2) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่มีทะเบียนเรือไทย (1.3) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และ (1.4) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์

(2) หลักประกันการกู้เงินให้ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ดังนี้ (2.1) ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีหนังสือแสดงเอกสารสิทธิสามารถจดทะเบียนจำนองได้ หรืออาคารชุด (2.2) เรือประมง (2.3) บสย. (2.4) บุคคลค้ำประกัน และ (2.5) หลักประกันอื่น ๆ ตามที่ธนาคารประกาศกำหนด

(3) หลักเกณฑ์การให้สินเชื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของธนาคาร

(4) กรณีผู้ประกอบการประมงประสบปัญหาในการประกอบอาชีพหรือธุรกิจ เช่น ประสบภัยธรรมชาติ สถานการณ์โรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ ให้ธนาคารสามารถช่วยเหลือโดยการบริหารจัดการหนี้ตามมาตรการของธนาคาร ภายใต้กรอบระยะเวลาโครงการและงบประมาณเดิม

(5) ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐบาล ให้สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการสร้างหนี้เพิ่มหมายเหตุ ผู้ประกอบการประมงที่ได้รับสินเชื่อภายใต้โครงการฯ โดยมี บสย. ค้ำประกันสินเชื่อควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้ประกอบการประมงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย.

หลักเกณฑ์เงื่อนไขและวิธีปฏิบัติอื่นที่เกี่ยวข้องให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ให้ธนาคารงดเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ดังนี้

(1) ค่าธรรมเนียมการประเมินราคาเรือประมง เป็นหลักประกัน

(2) ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ (ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้ : Management Fee หรือค่าธรรมเนียม วิเคราะห์โครงการ : Front End Fee)

(3) ค่าธรรมเนียมกรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนดในทุกกรณี (Prepayment)

ผลที่คาดว่าจะได้รับ ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านมีแหล่งเงินทุนในการปรับปรุงเรือประมงปรับเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ทำการประมง และเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการประมงให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพประมงเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพต่อไป

2. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

  • เป้าหมาย สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ

  • ระยะเวลา ระยะเวลาโครงการฯ 7 ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการฯ

  • ระยะเวลาการยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ 6 ปี หรือภายในกรอบวงเงินสินเชื่อตามที่ กำหนด แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน

  • กำหนดชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 7 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้เงิน แต่ไม่เกินระยะเวลาโครงการฯ

  • ประเภทสินเชื่อ เงินกู้ระยะสั้น ตามตั๋วสัญญาใช้เงินหรืออื่น ๆ ตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ และเงินกู้ระยะยาว เพื่อเป็นเงินทุนในการปรับปรุงเรือประมง ปรับเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ทำการประมง

  • วงเงินสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดต่ำกว่า 60 ตันกรอส กู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง และให้กู้สูงสุดไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อไม่นับรวมโครงการฯ ระยะที่ 1 และโครงการฯ ระยะที่ 2

  • อัตราดอกเบี้ย ค่าชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยเรียกเก็บจากผู้กู้ อัตราร้อยละ 4 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยให้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้เงิน แต่ไม่เกินระยะเวลาโครงการฯ

  • งบประมาณ (1) วงเงินชดเชยดอกเบี้ย 210 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท x ร้อยละ 3 x 7 ปี) และ (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชุมชี้แจง ประชาสัมพันธ์ ติดตามและประเมินผลโครงการฯ รวมเป็นวงเงินดำเนินงาน 0.64 ล้านบาท

หมายเหตุ ให้ ธ.ก.ส. สามารถนำค่าใช้จ่ายในการกันสำรองที่เกิดขึ้นจากโครงการฯ เพื่อบวกกลับเป็นรายได้ของธนาคารได้ และให้ ธ.ก.ส. ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ และให้แยกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการฯ ออกจากการดำเนินงานปกติภายใต้ระบบบัญชี PSA (Public Service Account)

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ให้ผู้ประกอบการประมงที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนสินเชื่อติดต่อขอสินเชื่อกับธนาคารตามขนาดเรือประมงที่มี (ตามหัวข้อวงเงินสินเชื่อ) โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

(1) คุณสมบัติของผู้ประกอบการประมงที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ (1.1) เป็นบุคคลธรรมดาอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย (1.2) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่มีทะเบียนเรือไทย (1.3) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และ (1.4) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์

(2) หลักประกันการกู้เงินให้ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ดังนี้ (2.1) ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีหนังสือแสดงเอกสารสิทธิสามารถจดทะเบียนจำนองได้ หรือ อาคารชุด (2.2) เรือประมง (2.3) บสย. (2.4) บุคคลค้ำประกัน และ (2.5) หลักประกันอื่น ๆ ตามที่ธนาคารประกาศกำหนด

(3) หลักเกณฑ์การให้สินเชื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของธนาคาร

(4) กรณีผู้ประกอบการประมงประสบปัญหาในการประกอบอาชีพหรือธุรกิจ เช่น ประสบภัยธรรมชาติ สถานการณ์โรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ ให้ธนาคารสามารถช่วยเหลือโดยการบริหารจัดการหนี้ตามมาตรการของธนาคาร ภายใต้กรอบระยะเวลาโครงการและงบประมาณเดิม

(5) ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐบาล ให้สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการสร้างหนี้เพิ่ม

หมายเหตุ ผู้ประกอบการประมงที่ได้รับสินเชื่อภายใต้โครงการฯ โดยมี บสย. ค้ำประกันสินเชื่อควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้ประกอบการประมงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย.

หลักเกณฑ์เงื่อนไขและวิธีปฏิบัติอื่นที่เกี่ยวข้องให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ให้ธนาคารงดเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ดังนี้

(1) ค่าธรรมเนียมการประเมินราคาเรือประมง เป็นหลักประกัน

(2) ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ (ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้ : Management Fee หรือค่าธรรมเนียม วิเคราะห์โครงการ : Front End Fee)

(3) ค่าธรรมเนียมกรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนดในทุกกรณี (Prepayment)

ผลที่คาดว่าจะได้รับ ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านมีแหล่งเงินทุนในการปรับปรุงเรือประมงปรับเปลี่ยนเครื่องมือ และอุปกรณ์ทำการประมง และเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการประมงให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพประมง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพต่อไป

ทั้งนี้ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการแล้ว กษ. จะดำเนินการ ดังนี้ แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ แก่ผู้ประกอบการประมง ผู้มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ยื่นประสงค์ที่สำนักงานประมงจังหวัด/อำเภอในพื้นที่ ออกหนังสือรับรองผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ กรณีไม่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ให้สำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ออกหนังสือรับรองฯ และพิจารณาผู้มีสิทธิได้รับเงินกู้ สูงสุดไม่เกินวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด

ควบรวม บสย.ตั้ง ‘NaCGA’ ทุนหมื่นล้าน ลุยค้ำ SMEs

ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. …. เพื่อก่อตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ให้เป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. มี 8 หมวด 132 มาตรา รวมทั้งกำหนดแนวทางในการควบรวม บสย. กับ NaCGA โดยจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป

NaCGA ในฐานะหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จะทำหน้าที่ในการ “ประเมินความเสี่ยงและค้ำประกันเครดิต” ให้พี่น้องประชาชนที่ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และ Non-Bank โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กลไกการทำงานของ NaCGA

1. ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อติดต่อ NaCGA เพื่อให้พิจารณาค้ำประกันเครดิตให้กับตนเอง ก่อนไปยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน

2. NaCGA จะเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) โดยใช้ฐานข้อมูลและแบบจำลองความเสี่ยงด้านเครดิตที่ NaCGA จัดทำขึ้นจากข้อมูลทางการเงินและข้อมูลทางเลือก

3. NaCGA จะออก “ใบค้ำประกันเครดิต” ให้กับผู้ขอสินเชื่อ โดยผู้ขอสินเชื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยตามความเสี่ยง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และสถาบันการเงินที่ร่วมจ่าย

4. ผู้ขอสินเชื่อนำใบค้ำประกันเครดิตที่ได้ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

5. สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อมี NaCGA เป็นผู้รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตแทนบางส่วนหรือทั้งหมดแล้ว

6. หากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ NaCGA จะเป็นผู้รับความเสี่ยงกับสถาบันการเงินตามเงื่อนไข

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้นฐานข้อมูลของ NaCGA จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญของประเทศ โดยร่างกฎหมายได้กำหนดให้ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐและเอกชน นำส่งข้อมูลต่างเพื่อจัดทำแบบจำลองเครดิตให้ NaCGA เพื่อให้เกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รวบรวมข้อมูลของภาคธุรกิจในประเทศ

แหล่งทุนและทรัพย์สินในการดำเนินงานของ NaCGA ประกอบด้วย

1. ทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ (ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ตามบทเฉพาะกาล)

2. เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนจาก บสย.

3. เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความ (เหมาะสมเป็นรายปี)

4. เงินสมทบและเงินเพิ่มจากสถาบันการเงินและผู้ให้สินเชื่ออื่น (Non-Banks)

5. ค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทน ค่าบริการ สิทธิประโยชน์ หรือรายได้อันเกิดจากการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจของ NaCGA

6. เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนจากรัฐบาลจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือ จากแหล่งอื่น โดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี

7. เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้แก่ NaCGA

8. เงินที่กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจมอบให้เพื่อใช้สำหรับการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

9. ดอกผลหรือรายได้จากเงินหรือทรัพย์สินซอง NaCGA ทั้งนี้ รายได้ของสถาบันไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับการเข้าถึงแหล่งทุน และสร้างขีดความสามารถของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs การจัดตั้ง NaCGA ไม่เพียงยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของภาครัฐในปัจจุบันให้มี แต่ยังจะเป็นการสร้างระบบนิเวศใหม่สำหรับการระดมทุนของภาคธุรกิจไทย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน

หนุน ‘Soft Power’ ซื้องานศิลปะ หักภาษีได้ไม่เกิน 1 แสน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะตามที่กรมสรรพากรโดยกระทรวงการคลังนำเสนอ เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ กระทรวงการคลังได้นำเสนอมาตรการภาษี 2 มาตรการดังนี้

  • มาตรการแรก มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนค่าซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทในแต่ละปีภาษี สำหรับการซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 โดยต้องซื้อจากศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ศิลปินศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ หรือ ศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนศิลปินกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย หรือซื้อจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รวมถึงมูลนิธิ หรือ สมาคมที่จำหน่ายงานศิลปะหรือจัดประมูลงานศิลปะ เฉพาะงานศิลปะที่จัดทำหรือสร้างสรรค์โดยศิลปินข้างต้น ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปหรือใบรับ พร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดงานศิลปะ

  • มาตรการที่สอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ ให้ศิลปินผู้มีเงินได้ตาม มาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากรที่เป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระประณีตศิลปกรรม หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 60 ตั้งแต่ปีภาษี 2568 เป็นต้นไปเป็นการถาวร โดยไม่กำหนดประเภทศิลปิน”

นายจุลพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะจะช่วยให้การซื้อขายงานศิลปะในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยกว่าปีละ 100 ล้านบาท ส่งเสริมให้ศิลปินผลิตงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น และผลักดันให้มีการจัดแสดงงานศิลปะระดับประเทศ และระดับนานาชาติในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นตามไปด้วย ขณะที่มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ จะช่วยบรรเทาภาระภาษี และสร้างแรงจูงใจให้ศิลปินผลิตงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยรวมแล้วการออกมาตรการภาษีทั้ง 2 มาตรการนี้จะทำให้ประเทศไทยมี Soft Power ด้านศิลปะในระดับโลก”

ไฟเขียว อ.ส.ค.กู้ 200 ล้าน รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร

นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้

1.1 เห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กู้ยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร (กองทุนฯ) จำนวน 200 ล้านบาท

1.2 อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้ อ.ส.ค. กู้ยืมเงินเพื่อไปดำเนินการ ตามโครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิตของ อ.ส.ค. (โครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ) ทั้งนี้ มีกำหนดชำระคืนภายใน 3 ปี ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ พ.ศ. 2568 – 2571 โดยอนุมัติวงเงินจำนวน 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เพื่อรวบรวมและรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคนมในเขตพื้นที่ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของ อ.ส.ค. ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568

นายอนุกูล กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง และยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งต้นทุนภาคเกษตรและการผลิตมีการปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงมีการปรับราคาน้ำนมดิบของเกษตรกรที่สูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน ส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมภาคเอกชนหันไปใช้สินค้าทดแทนที่มีราคาต่ำกว่าน้ำนมดิบ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทำให้เกษตรกรไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตน้ำนมดิบที่มีอยู่ทั้งหมดได้ ทำให้มีน้ำนมดิบเหลือ และไม่มีแหล่งจำหน่าย จนเกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนของเกษตรกร จากสถานการณ์ดังกล่าว อ.ส.ค. ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในเบื้องต้นโดยการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเพิ่มเติมจากข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ระหว่าง อ.ส.ค.กับสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหา ในภาพรวมได้เนื่องจากงบประมาณของ อ.ส.ค. มีจำกัด (ในช่วงปี พ.ศ. 2565 – 2567 อ.ส.ค. ประสบปัญหาทางการเงินจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจชะลอตัว) ประกอบกับผลการดำเนินงาน ด้านรายได้ขององค์กรไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของ อ.ส.ค.

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า จากปัญหาข้างต้น อ.ส.ค. จึงได้จัดทำโครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ โดยขอใช้เงินกองทุนฯ จำนวน 200 ล้านบาท เพื่อนำไปรับซื้อผลผลิตน้ำนมดิบของเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคนมมาแปรรูปและจำหน่าย โดย อ.ส.ค. จะนำรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมมาชำระคืนกองทุนฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

  • วัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนในการรวบรวม และรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในเขตพื้นที่ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของ อ.ส.ค. ทั้ง 5 สำนักงานภาค [ภาคกลาง (สระบุรี) ภาคใต้ (ประจวบคีรีขันธ์) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น) ภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่) ภาคเหนือตอนล่าง สุโขทัย] จำนวน 37 สหกรณ์ สมาชิก 2,960 ราย

  • เป้าหมายโครงการ รับซื้อน้ำนมดิบของสหกรณ์โคนมที่มีเกษตรกรเป็นสมาชิก และส่งน้ำนมดิบให้แก่ อ.ส.ค. โดยมีปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบ จำนวน 8,792,000 กิโลกรัม ต่อ 1 รอบการผลิต เกษตรกรในโครงการสามารถจำหน่ายน้ำนมดิบได้ปีละ 5 รอบการผลิต จำนวนรวม 43,960,000 กิโลกรัม ระยะเวลา 3 ปี จำนวนรวมทั้งสิ้น 131,880,000 กิโลกรัม

  • ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี [พ.ศ. 2568 (ช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม) – 2571]

  • งบประมาณ ใช้เงินกองทุนฯ จำนวน 200 ล้านบาท ดังนี้ ค่าน้ำนมดิบ เป้าหมาย 37 สหกรณ์ ปริมาณ 8,792,000 กิโลกรัม ราคา 22.75 บาท วงเงิน 200,018,000 บาท โดยในส่วนทีเกินมาอีก 18,000 บาท จะใช้เงินรายได้ของ อ.ส.ค.

ขยายเวลา-วงเงินสร้างอ่างเก็บน้ำ ‘ห้วยกรอกเคียน’ 6 ปี 1,900 ล้าน

นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกรอกเคียน จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิม 4 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2567) เป็นระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2569) และอนุมัติให้เพิ่มกรอบวงเงินโครงการฯ จากเดิม 1,880 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ 1,980 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท)

นายอนุกูล กล่าวว่า กรมชลประทานได้ดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลการดำเนินงานสะสมทั้งหมดร้อยละ 75.13 (ณ เดือนมีนาคม 2568) โดยที่ผ่านมาประสบปัญหาการดำเนินการที่ล่าช้ากว่าแผนงานซึ่งเกิดจากปัญหาในการจัดหาที่ดินก่อสร้างเนื่องจากโครงการฯ ดำเนินการก่อสร้างในเขตพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) จำนวน 560 แปลง พื้นที่จำนวน 6,147 ไร่เศษ มีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเขตโครงการชลประทาน ประมาณ 158 หลังคาเรือน ซึ่งไม่ยอมรับราคาค่าที่ดินและค่าทดแทนทรัพย์สิน กรมชลประทาน จึงได้ทำการชี้แจงรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของราษฎรในพื้นที่จนสามารถเข้าดำเนินการก่อสร้างได้

แต่ก็ทำให้วงเงินราคาที่ดินสูงกว่าที่ประเมินไว้ 1,200 ล้านบาท เป็น 1,210 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท) โดยกรมชลประทาน ได้ดำเนินการจ่ายค่าที่ดินและค่าทดแทนทรัพย์สินแล้ว จำนวน 556 แปลง เนื้อที่ 6,017 ไร่เศษ มีผลการเบิกจ่าย จำนวน 1,179.62 ล้านบาท (หรือคิดเป็นร้อยละ 97.49 ของวงเงินค่าจัดหาที่ดินทั้งหมด) และความล่าช้าที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลให้ผู้รับจ้างดำเนินงานประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้ ประกอบกับมีปัจจัยที่ส่งผลต่อวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้ค่าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งเพิ่มขึ้น

รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราค่างาน (Unit Cost) ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ (สงป.) ทำให้วัสดุมีราคาเพิ่มตามอัตราค่างานเป็นผลกระทบทำให้ต้องปรับวงเงินงบประมาณการก่อสร้างตามไปด้วย จากเดิมจำนวน 680 ล้านบาท เป็นจำนวน 770 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท) ทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จำเป็นต้องขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม 4 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2567) เป็น 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567-2569) และขออนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินโครงการจากเดิม จำนวน 1,880 ล้านบาท เป็นจำนวน 1,980 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว และกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สงป. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นด้วย

ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่าต่อวงเงินงบประมาณ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค การเกษตรและภาคอุตสาหกรรม รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกง จึงเห็นควรให้ กษ. โดยกรมชลประทาน กำกับ ติดตาม ผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยไม่ควรให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ สศช.

กฟผ.พัฒนาสายส่ง ‘แพร่-น่าน-อุตรดิตถ์’ รองรับไฟฟ้า สปป.ลาว

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัด น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (โครงการ NPUP) ภายในวงเงิน 26,220 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงพลังงานขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้า บริเวณจังหวัด น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (โครงการ NPUP) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง ตามนโยบายของภาครัฐที่มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมทั้งเป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนรวม ประมาณ 26,220 ล้านบาท แบ่งการดำเนินโครงการออกเป็น 2 ระยะ มีกำหนดแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปี 2574 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยไฟฟ้าต้นทุนต่ำ โดยมีขอบเขตการดำเนินโครงการ ดังนี้

ขอบเขตงานระยะที่ 1

  • ขยายสถานีไฟฟ้า 500 230 และ 115 กิโลโวลต์ (500/230/115 kV) น่าน

  • ก่อสร้างสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 kV) ชายแดนไทย/สปป.ลาว – น่าน วงจรคู่

  • ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า (แห่งใหม่) 500 กิโลโวลต์ (500 KV) เด่นชัย

  • ก่อสร้างสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 kV) น่าน – เด่นชัย วงจรคู่

  • ตัดสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 KV) แม่เมาะ 3 – ท่าตะโก วงจรคู่ (2 แนวสาย) ลงที่สถานีไฟฟ้าเด่นชัย ทั้งสี่วงจร

ขอบเขตงานระยะที่ 2

  • ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า (แห่งใหม่) 500 กิโลโวลต์ (500 kV) ท่าวังผา

  • ตัดสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 kV) ชายแดนไทย/สปป.ลาว (จากโรงไฟฟ้าหงสา) – น่านวงจรคู่ และสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 kV) ชายแดนไทย/สปป.ลาว (จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว) – น่าน วงจรคู่ ลงที่สถานีไฟฟ้าท่าวังผา (แห่งใหม่) ทั้งสี่วงจร

  • ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า (แห่งใหม่) 500 กิโลโวลต์ (500 kV) ร้องกวาง – ตัดสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 kV) น่าน – แม่เมาะ 3 วงจรคู่ และสายส่ง 500 กิโลโวลต์ (500 kV) น่าน – เด่นชัย วงจรคู่ ลงที่สถานีไฟฟ้าร้องกวาง (แห่งใหม่) ทั้งสี่วงจร

สำหรับเงินทุนในการดำเนินโครงการ NPUP กฟผ. จะพิจารณาแหล่งเงินทุนจากหลายแหล่งเช่น สถาบันการเงินต่างประเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการออกพันธบัตรหรือลงทุนในประเทศและเงินรายได้ของ กฟผ. โดยมีสมมติฐานสัดส่วนการจัดสรรแหล่งเงินทุนจากรายได้ของ กฟผ. และแหล่งเงินทุนอื่น ๆ อยู่ที่ 25 : 75 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการลงทุนโครงการมีผลกระทบ ต่ออัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.51 สตางค์/หน่วย (คิดจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิที่อัตราคิดลด ร้อยละ5.08) แต่ผลการคำนวณผลตอบแทนของโครงการยังคงอยู่ในระดับที่คุ้มค่าต่อการลงทุน โดยมี FIRR ที่ร้อยละ 17.89 และ EIRR ที่ร้อยละ 19.15 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟผ. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และได้รับความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติด้วยแล้ว

กพอ.ไฟเขียว ‘BGRIM’ ตั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 18 MW ใน EECa

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานให้แก่บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ) ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. EEC 2563) ตามมติ กพอ. ในการประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. กพอ. ได้ออกประกาศ กพอ. เรื่อง กำหนดเขตส่งเสริม: เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) (เขตส่งเสริม EECa) ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 โดยกำหนดให้พื้นที่ 6,500 ไร่ บริเวณสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยอง เป็นเขตส่งเสริม EECa โดยกองทัพเรือ (ทร.) ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาผู้ผลิตสาธารณูปโภคส่วนกลางที่ต้องใช้ในพื้นที่ดังกล่าว เช่น ระบบไฟฟ้าและน้ำเย็น เพื่อให้บริการแก่สนามบินและกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนา EECa

2. บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ ได้รับเลือกเป็นผู้ประกอบการระบบไฟฟ้า และน้ำเย็นในบริเวณที่ราชพัสดุพื้นที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งจะต้องผลิตไฟฟ้าให้กับเอกชนคู่สัญญาที่ดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินและเขตส่งเสริม EECa และต่อมาบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ ได้ยื่นคำขอรับอนุญาตประกอบการพลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) กำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 18 เมกะวัตต์ เพื่อขายไฟฟ้าให้แก่กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทาน ทร. (กิจการไฟฟ้าฯ) ต่อ สกพอ. เพื่อให้ดำเนินการเสนอ กพอ. พิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานตามมาตรา 37 (4) และมาตรา 43 (7) แห่ง พ.ร.บ. EEC พ.ศ. 2561 โดยมีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

(1) ใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า

(2) ใบอนุญาตประกอบกิจการจำหน่ายไฟฟ้า

(3) ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน

(4) ใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (พค. 2)

(5) ใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร

ประโยชน์และผลกระทบ: การออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานให้แก่บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ เป็นการรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ มีความต่อเนื่อง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบโดยสมบูรณ์ ตลอดจนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในการส่งเสริมการลงทุนในกิจการพลังงาน และกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ ทั้งนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ไฟเขียว ปตท.สผ.รับสิทธิสำรวจ ‘แหล่งก๊าซเอราวัณ’ 100%

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้บริษัท เอ็มพี จี 2 (ประเทศไทย) จำกัด โอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ซึ่งบริษัทถืออยู่ทั้งหมดร้อยละ 40 ในสัญญาแบ่งปันผลผลิตเลขที่ 1/2562/1 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/61 หรือที่เรียกว่า “แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ” ให้แก่ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ทั้งนี้ พน. จะได้ออกเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) ของสัญญาแบ่งปันผลผลิต เลขที่ 1/2562/1 ตามแบบ ชร/ป12/1 ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญา แบ่งปันผลผลิต พ.ศ. 2561 ต่อไป

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (13 ธันวาคม 2561) อนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท เอ็มพี จี 2 (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 พน. ได้ออกสัญญาแบ่งปันผลผลิตแลขที่ 1/2562/1 เพื่อสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 ให้แก่ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ร้อยละ 60 และเป็นผู้ดำเนินงาน) และบริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด (ร้อยละ 40) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562

บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ร่วมรับสัญญาแบ่งปันผลผลิตเลขที่ 1/2562/1 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 ได้แจ้งความประสงค์ขอโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะที่ถือครองอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 40 ในสัญญาแบ่งปันผลผลิตดังกล่าว ให้แก่ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด โดยอาศัยความตามนัยมาตรา 50 ประกอบมาตรา 53/8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่ง บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้มีหนังสือยืนยันการรับโอนมาด้วยแล้ว

คณะกรรมการปิโตรเลียมในคราวประชุมครั้งที่ 8/2567/625 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 เห็นควรอนุญาตให้ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัดโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ซึ่งบริษัทถือครองอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 40 ตามสัญญา แบ่งปันผลผลิตเลขที่ 1/2562/1 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 ให้แก่บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติ ครบถ้วนในการเป็นผู้รับสัมปทาน ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เมื่อโอนสิทธิตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตแล้วจะส่งผลให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน และผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตนี้แต่เพียงรายเดียว ซึ่งจะทำให้มีความคล่องตัวในการตัดสินใจถึงแนวทางการพัฒนาแหล่ง และการประกอบกิจการปิโตรเลียมมากขึ้นสามารถพัฒนาทรัพยากรน้ำมันดิบในพื้นที่แปลงสำรวจขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อการตอบสนองความต้องการใช้ของประเทศในปัจจุบัน และการดำเนินการโอนสิทธิตามสัญญาดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่ภาครัฐได้รับแต่อย่างใด

สพพ.ออก ‘Social Bond’ ปรับโครงสร้างหนี้ 1,000 ล้าน

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อสังคมเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. วงเงิน 1,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กค. รายงานว่า ที่ผ่านมา สพพ. ได้ดำเนินการกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ(1.) โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง และ (2.) โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะมีการปรับลดลง กค. โดย สพพ. จึงเห็นควรให้มีการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นของ สพพ. โดยการออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) เพื่อให้ สพพ. ได้รับต้นทุนที่เหมาะสม รวมถึงเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความไม่สอดคล้องของอายุเงินที่ สพพ. กู้และอายุเงินที่ สพพ. ปล่อยกู้ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนเป็นการลดความผันผวนของต้นทุนในระยะยาว โดย สพพ. เตรียมการที่จะออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2569

คณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (คพพ.) ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2567 มีมติเห็นชอบแผนการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. ประเภทสังคม สำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง สปป.ลาว จำนวน 913.25 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) สปป.ลาว จำนวน 690.03 ล้านบาท รวมวงเงิน 1,603.28 ล้านบาท โดยจะออกพันธบัตรเพื่อสังคม ภายใต้กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท และใช้เงินสะสมของ สพพ. ชำระคืนก่อนกำหนดกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จำนวน 603.28 บาท โดยในการออกพันธบัตรมีเงื่อนไขการดำเนินการ ดังนี้

  • วงเงิน 1,000 ล้านบาท

  • วัตถุประสงค์ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นของ สพพ. โดยการออกพันธบัตรเพื่อสังคม

  • อายุ สอดคล้องกับอายุโครงการที่เหลือและเป็นไปตามสภาวะตลาด (10 ปี)

  • อัตราดอกเบี้ย คงที่ (ร้อยละต่อปี) คาดว่าประมาณ Government Bond Yield Curve 10 ปี บวก Spread ประมาณ บวก 90 bps

  • กลุ่มนักลงทุน นักลงทุนสถาบัน เช่น สถาบันการเงิน กองทุนรัฐบาล บริษัทประกัน เป็นต้น

  • การจัดจำหน่าย แบบเฉพาะเจาะจงให้กับกลุ่มนักลงทุนสถาบันไม่เกิน 10 ราย (Private Placement 10: PP10)

  • การออกตราสารหนี้ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

การพิจารณาออก Social Bond เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. เป็นแนวทางในการบริหารจัดการหนี้ของ สพพ. สำหรับทั้งสองโครงการข้างต้นให้มีอายุเงินกู้ยาวขึ้นและอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนทางการเงินของ สพพ. และเป็นนวัตกรรมทางการเงินของ สพพ. ที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมภาพลักษณ์ของ สพพ. และยกระดับมาตรฐานโครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ของ สพพ. ให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งนี้ อาจมีขั้นตอนการดำเนินการในการออกพันธบัตร การสอบถาม และการรายงานต่างๆ ที่มากกว่าการออกพันธบัตรทั่วไป

อัตราผลตอบแทนของ Social Bond ของ สพพ. จะขึ้นอยู่กับอัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ขึ้นกับหลายปัจจัย ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของ Social Bond สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ สพพ. กู้ ธสน. ในอัตราร้อยละ 2.65 ต่อปี ดังนั้น หาก สพพ. ดำเนินการออกพันธบัตรไม่สำเร็จหรือมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการออก Social Bond ไม่คุ้มค่า สพพ. อาจพิจารณาดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ในรูปแบบอื่นแทน

โยก ‘ดนุชา’ นั่งเลขา สนทช. ‘พชร’ ปลัด DES

นายจิรายุ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้

1. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอรับโอน นายพชร อนันตศิลป์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว

2. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เสนอรับโอน นายดนุชา พิชยนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว

3. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย จำนวน 25 ราย ดังนี้

1. ให้นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดบึงกาฬ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

2. ให้นายชูชีพ พงษ์ไชย พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดตาก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

3. ให้นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอ่างทอง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

4. ให้นายณรงค์ เทพเสนา พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

5. ให้ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดนราธิวาส และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

6. ให้นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดนครพนม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

7. ให้นายวีระพันธ์ ดีอ่อน พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดปราจีนบุรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

8. ให้ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

9. ให้นายอังกูร ศีลาเทวากูล พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง)จังหวัดกระบี่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง)สำนักงานปลัดกระทรวง

10. ให้นายสุรศักดิ์ อักษรกุล พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดหนองบัวลำภู และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการพัฒนาชุมชน

11. ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดพัทลุง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกระบี่

12. ให้นายชรินทร์ ทองสุข พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเชียงราย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดขอนแก่น

13. ให้นายนริศ นิรามัยวงศ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดสมุทรสาคร และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดชลบุรี

14. ให้นายรัฐพล นราดิศร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดพะเยา และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดเชียงราย

15. ให้นายทศพล เผื่อนอุดม พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่

16. ให้นายศุภมิตร ชิณศรี พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดสมุทรปราการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครสวรรค์

17. ให้นายเอกวิทย์ มีเพียร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดปทุมธานี

18. ให้นายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดภูเก็ต

19. ให้นางสาวชุติพร เสชัง พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง)จังหวัดนครสวรรค์ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน

20. ให้นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดมหาสารคาม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำปาง

21. ให้นายสยาม ศิริมงคล พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการพัฒนาชุมชน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรปราการ

22. ให้นายชยชัย แสงอินทร์ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดสมุทรสงคราม

23. ให้นายสมบัติ ไตรศักดิ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดสิงห์บุรี

24. ให้นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ

25. ให้นายชำนาญ ชื่นตา พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุรินทร์ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ยกเว้นลำดับที่ 15 ขอให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้ง นายนรพรรษ เพ็ชรตระกูล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการเศรษฐกิจ) สูง)] กองนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงินสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

5. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจำนวน 4 คน เพื่อแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก จำนวน 2 คน และแต่งตั้งเพิ่มเติม จำนวน 2 คน ดังนี้

1. นายภุชพงค์ โนดไธสง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านสังคมศาสตร์)

2. นางพรอนงค์ บุษราตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านบริหารธุรกิจ)

3. นางสาวธีรณี อจลากุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านนโยบายและแผน)

4. นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านนวัตกรรมดิจิทัล)

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมหรือแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นดำรงตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่

6. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จำนวน 2 คน เพื่อแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก และได้ถึงแก่กรรม ดังนี้

1. นายธรณินทร์ ไชยเรืองศรี

2. นายสัมพันธ์ สิงหราชวราพันธ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว

7. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียม

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงาน เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียม จำนวน 5 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก และดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้

1. ศาสตราจารย์พิเศษพล ธีรคุปต์

2. นางเปรมฤทัย วินัยแพทย์

3. นายพิพัฒน์ เหล่าวัฒนบัณฑิต

4. นายปราโมช รังสรรค์วิจิตร

5. นายณฏฐพล วุฒิพันธุ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

8. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสนอรับโอน นางอุดมพร เอกเอี่ยม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว

9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

1. นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ ตำแหน่ง อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

2. นางอุรษา มงคลนาวิน ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ สาธารณรัฐโปแลนด์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

10. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

1. นายศุภกิจ บุญศิริ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

2. นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

11. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(กระทรวงศึกษาธิการ)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

1. โอน นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้

2. โอน นายพิเชฐร์ วันทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

3. ย้าย นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

4. ย้าย นายวีระ แข็งกสิการ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

5. โอน นายสุภชัย จันปุ่ม ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

โดยกรณีการแต่งตั้งข้าราชการลำดับที่ 1-2 และดำดับที่ 5 ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เพิ่มเติม

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

“สาธร อุพันวัน” มองการศึกษาไทย ใส่ ‘ซอฟต์แวร์-เทคโนโลยี’ ให้ถูกที่ ‘สร้างทุน-เปลี่ยนชีวิต’

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ธปท.ยกระดับสกัดความเสียหายจากมิจฉาชีพหลอก สั่งแบงก์กำหนดวงเงินโอนไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

เดลินิวส์ 20 ส.ค.ถวายรักษาพระองค์ภา กระตุ้นความดัน ใช้อุปกรณ์แทนพระวักกะ

เดลินิวส์
วิดีโอ

รวบตัวชายเลือดร้อนก่อเหตุยิงคู่อริ หลบหนีคดีนานกว่า 17 ปี

สวพ.FM91
วิดีโอ

บ้านหนองจาน! คนกัมพูชา อัดคลิปถึงคนไทย ทหารไทยรุกที่ดินกัมพูชา 280 เมตร

BRIGHTTV.CO.TH

อุบัติเหตุ รถกระบะ 2 คันและรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง กลางถนนหมายเลข 403 มีผู้เสียชีวิตหญิง 1 ราย จ.นครศรีธรรมราช

สวพ.FM91

พยากรณ์อากาศ 20สิงหาคม2568 ไทยฝนลดลงแต่ยังมีฟ้าคะนองบางแห่ง

PostToday

สายบุญต้องรู้ ทำความรู้จัก "e-Donation" ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...