"โรม" เตือนอย่าชะล่าใจ แม้สถานการณ์ชายแดนเริ่มคลี่คลาย
"โรม" เตือนอย่าชะล่าใจ แม้สถานการณ์ชายแดนเริ่มคลี่คลาย ชี้หากรัฐไม่เดินเกมกฎหมาย ส่อปะทุซ้ำ
วันที่ 11 ส.ค.68 นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว The Room44 จากกรณีเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่เริ่มคลี่คลายลงในขณะนี้ โดยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้ว่าจะมีปัจจัยอื่นแอบแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ หรือแม้กระทั่งปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ
“ ในมุมมองของผม เราไม่เคยเห็นผู้นำประเทศใดๆ จัดการปัญหาในลักษณะนี้มาก่อน จึงอาจมีแรงจูงใจหรือความขัดแย้งส่วนตัวบางประการเข้ามาเกี่ยวข้อง การที่เหตุการณ์ลุกลามถึงขั้นปะทะด้วยอาวุธ แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่แค่เรื่องเขตแดนธรรมดา ” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ ยังชี้ว่า ปัญหาแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน ควรมีการจัดการอย่างจริงจัง และต้องใช้กลไกทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เคยระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา อาจมาจากการที่รัฐบาลไทยมีมาตรการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้น จนกัมพูชาไม่พอใจ นายรังสิมันต์เห็นว่า ข้อมูลดังกล่าวแม้จะเป็นไปได้ แต่การที่นำมาเปิดเผยในภายหลังถือว่า "ช้าเกินไป" ประเด็นเรื่องคอลเซ็นเตอร์อาจจะจริง แต่ก็สะท้อนว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ใช้กลไกระหว่างประเทศในการเจรจา หรือจัดการกับปัญหานี้อย่างเหมาะสม ทั้งที่ในความเป็นจริง ไทยสามารถยื่นเรื่องต่อศาลระหว่างประเทศ (ICC) หรือใช้ช่องทางกฎหมายอื่นๆ ได้ทันทีหากมีหลักฐานเพียงพอ
นายรังสิมันต์ ยังชี้ว่า ในกรณีของการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามการใช้กับระเบิดต่อต้านบุคคล ไทยก็มีหลักฐานชัดเจนว่าเกิดการละเมิดบริเวณชายแดน แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่ชัดเจนหรือเป็นรูปธรรม
ตนแปลกใจมาก ว่าเหตุใดประเทศไทยจึงไม่ดำเนินการในเรื่องที่มีข้อมูลชัดเจน เช่น การวางกับระเบิด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กองทัพไทยไม่สามารถเข้าเคลียร์พื้นที่บริเวณปราสาทตาควายได้ และยังมีกรณีการโจมตีพลเรือนไทยที่สามารถยื่นฟ้องได้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ตนย้ำใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศ ดำเนินการได้ทันทีหากมีหลักฐาน
นายรังสิมันต์ ระบุว่า หากรัฐบาลไทยมีความตั้งใจจริง ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถดำเนินการต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ทันที โดยเฉพาะกรณีที่มีข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน การโจมตีพลเรือน หรือการใช้ระเบิดอย่างผิดกฎหมาย
ตอนนี้อยู่ที่รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร เพราะหากปล่อยไว้นาน ก็จะกระทบต่อความชอบธรรมของไทยในการเรียกร้องความยุติธรรมจากประชาคมโลก ยิ่งเหตุการณ์สดใหม่เท่าไร ยิ่งต้องเร่งดำเนินการ
เมื่อถามถึงท่าทีของกัมพูชาในการประชุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งปฏิเสธที่จะร่วมมือในการกอบกู้ระเบิดตามแนวชายแดน นายรังสิมันต์ มองว่า เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมาย เพราะหากกัมพูชายอมรับ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าได้ละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ การที่กัมพูชาไม่ยอมร่วมมือในการกอบกู้ระเบิด เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะจะกลายเป็นการยอมรับว่ากระทำผิด ขณะเดียวกันก็อาจเกี่ยวพันกับปัญหาภายใน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลผู้นำในประเทศ ที่มีบทบาทสำคัญในทุกมิติของการเมืองและความมั่นคง
นายรังสิมันต์ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการอย่างจริงจัง โดยใช้กลไกกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ และฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก พร้อมชี้ว่าความขัดแย้งครั้งนี้มีมิติเชิงการเมืองภายในที่ควรต้องจับตา ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนเท่านั้น