ทุ่นระเบิด “กัมพูชา” กับความพยายามแหกกฎ อนุสัญญาออตตาวา
ทุ่นระเบิด “กัมพูชา” กับความพยายามแหกกฎ อนุสัญญาออตตาวา
จากกรณีทหารไทยเหยียบกับดักระเบิดที่บริเวณภูมะเขือ บริเวณชายแดน ที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่วเป็นครั้งที่ 3 ในรอบเกือยเดือนหละงจากที่ทหารชุดแรกเหยียบไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งที่ฝ่ายกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาตะวาและเข้าข่ายขัดต่อข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา และทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็อาจมองว่า การใช้กับดักระเบิดนี้อาจจะทำให้ การเจรจา GBC ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 7 ส.ค. นั้นอาจไม่บรรลุผล รวมถึงทางฝั่งกัมพูชาก็ไม่ยอมตอบรับข้อเสนอในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งยังตกค้างอยู่ในชายแดน
โดยทหารไทย เหยียบกับดักระเบิดที่เป็นของใหม่ในช่วงแรกคือ
23 ก.ค. 68 บริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้เสียขา 1 นาย
28 ก.ค. 68 ในระหว่างการปะทะที่ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ เสียขา 1 นาย
9 ส.ค. 68 บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บบริเวณข้อเท้า 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
โดยระเบิดที่ฝ่าย กัมพูชาเลือกใช้นั้นเป็นระเบิดชนิด PMN-2 เป็นระเบิดที่มีเป้าหมายเพื่อที่จะทำอันตรายต่อผู้เหยียบ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียขาหรือได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถไปต่อได้อย่างที่ปรากฏในบริเวณชายแดนคือทหารส่วนใหญ่ที่เหยียบกับระเบิดนี้จะสูญเสียขาไปเลยทันทีรวมถึงอาจสร้างความเสียหายในบริเวณใกล้เคียงอย่างผู้ที่อยู่ใกล้หรือเสียงที่ดังพอที่จะให้ระบบการได้ยินมีปัญหา ซึ่งการใช้ระเบิดทุ่นระเบิดนั้นนิยมมากในช่วงสงครามทั้งในอดรีตแบะปัจจุบัน เพราะการ วังระเบิดนั้นสร้างความเสียหายไม่ได้ต่อกองทัพแต่ก็รวมถึงประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงดังเช่น ในประเทศลาวหรือกัมพูชาที่ในอดีตสงครามเวียดนามซึ่งมีระเบิดหลงเหลืออยู่ บ่อยครั้งที่ชาวบ้านในบริเวณชายแดนทั้งลาวและกัมพูชามักจะพลาดเหยียบโดนกับระเบิดในอดีตหลายครั้ง บางรายก็สูญเสียขาบางรายก็สูญเสียแก่ชีวิต จนทำให้ต้องมีการร่างอนุสัญญาตะวาขึ้นในปี 1997 เพื่อที่จะใช้การยุติใช้ทุนระเบิดสังหารบุคคลหรือกับดักระเบิดในสงคราม โดยมีประเทศเข้าร่วมกว่า 165 ประเทศ แต่ก็มีบางประเทศอย่างประเทศมหาอำนาจที่ไม่ได้เข้าร่วมในสนธิสัญญาฉบับนี้และคาดว่าในอนาคตจะเริ่มมีหลายประเทศทยอยถอนตัวออกจากสนธิสัญญาฉบับนี้เนื่องจากผลของสงครามยูเครนและรัสเซีย
ประเทศไทยและกัมพูชาก็เป็นประเทศที่อยู่ในอนุสัญญาฉบับนี้ ตั้งแต่วันที่ร่างขึ้นมา แต่ในสัญญาฉบับนี้ ก็มีช่องโหว่ที่ไม่ได้มีบทลงโทษอย่างเด็ดขาดหรือรุนแรงแต่เป็นเพียงการกดดันทางอ้อมเท่านั้น ทำให้กัมพูชาอาจจะใช้ช่องโหว่นี้ ในการแหกฎหรือในอนาคตอาจถอนตัวจากสัญญาฉบับนี้ได้