ผลวิจัยเตือน 1 นิสัยเล็กๆ ตอนอนุบาล อาจทำโตมาสูญเงิน 2.8 ล้าน ในช่วงทำงาน 25 ปี
ผลการศึกษานาน 30 ปีเตือน! พฤติกรรมตอนอนุบาล อาจทำให้ลูกคุณสูญเงินกว่า 2.8 ล้านบาท ในช่วงทำงาน 25 ปี
ทุกคนล้วนอยากเลี้ยงลูกให้ฉลาดและมีอนาคตดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ่อแม่จำนวนมากยังคาดหวังให้ลูกโตไปมีรายได้ดี มีงานมั่นคง และประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งอาจเริ่มได้ตั้งแต่การสังเกตพฤติกรรมของลูกในช่วงอนุบาล
งานวิจัยที่ใช้เวลานานถึง 30 ปี ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Journal of American Medical Association Psychiatry พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนตอนอนุบาล (อายุ 5–6 ปี) มักจะมีรายได้ต่ำกว่าคนอื่นเมื่อโตขึ้นเข้าสู่วัยทำงาน (อายุประมาณ 33–35 ปี)
การศึกษาใช้ข้อมูลจากเด็ก 2,850 คน ในเมืองควิเบก ประเทศแคนาดา เริ่มตั้งแต่ปี 1980-1981 โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมจากครู แล้วนำไปเทียบกับข้อมูลรายได้จากภาษีในช่วงปี 2013–2015
แม้จะปรับปัจจัยอื่นๆ เช่น IQ หรือฐานะครอบครัวแล้ว แต่ผลยังคงแสดงให้เห็นว่า
เด็กชายที่ขาดสมาธิ มีรายได้น้อยลงโดยเฉลี่ย 1,271.49 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 46,960 บาท/ปี
เด็กหญิงที่ขาดสมาธิ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยมีรายได้น้อยลงเฉลี่ย 924.25 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 34,120 บาท/ปี
ตัวอย่างพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ “ไม่มีสมาธิ” ได้แก่
ต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง โทษคนอื่น
อยู่ไม่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา
วิตกกังวล ขี้กลัว
ก้าวร้าว ชอบทะเลาะรังแกคนอื่น
ถ้าคำนวณรวมในระยะเวลา 25 ปีของการทำงาน อาจทำให้เด็กที่มีปัญหาเรื่องสมาธิ สูญรายได้สูงถึง 2.8 ล้านบาท เทียบกับเพื่อนที่มีสมาธิดี
นอกจากนั้น งานวิจัยยังพบว่า เด็กชายที่มีพฤติกรรมเชิงบวก รู้จัก “ใส่ใจผู้อื่น” มักประสบความสำเร็จในอนาคต เช่น รู้จักแบ่งปัน แก้ปัญหากับเพื่อนด้วยตนเอง แสดงความเห็นอกเห็นใจ มีแนวโน้มโตขึ้นแล้วมีรายได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตามผลนี้ไม่เด่นชัดในเด็กผู้หญิงเท่าไรนัก
แม้ว่าในงานวิจัยนี้ “ความไม่ตั้งใจ” เป็นปัจจัยพฤติกรรมเดียวที่ชี้ชัดถึงผลรายได้ในเด็กหญิง แต่ในงานวิจัยอื่นๆ กลับพบว่า พฤติกรรมที่ดี เช่น การเข้าสังคม การมีน้ำใจ ส่งผลดีทั้งในเด็กชายและหญิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว
ตัวอย่างเช่น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Penn State ในปี 2015 พบว่า เด็กอนุบาลที่รู้จักช่วยเหลือและแบ่งปัน มีโอกาสเรียนจบมหาวิทยาลัยสูงกว่าเพื่อน 2 เท่า และ 46% มีงานทำเต็มเวลา ก่อนอายุ 25 ปี
ทั้งนี้ ผู้วิจัยยอมรับว่าการศึกษาไม่ครอบคลุมรายได้จากเศรษฐกิจนอกระบบ หรือการกู้ยืมส่วนตัว และการประเมินพฤติกรรมใช้จากมุมมองของครูเท่านั้น ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมทุกด้าน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังถือว่ามีความสำคัญ เพราะแสดงความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างพฤติกรรมวัยเด็กกับอนาคตด้านการเงิน
ท้ายที่สุด พ่อแม่ควรสังเกตพฤติกรรมของลูกอย่างใกล้ชิด หากพบว่าลูกมีอาการขาดสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง วิตกกังวล หรือก้าวร้าว ควรรีบหาทางปรับพฤติกรรมแต่เนิ่นๆ เพราะไม่เพียงแค่เพื่อความสงบในห้องเรียนเท่านั้น แต่อาจหมายถึงอนาคตที่ประสบความสำเร็จมากกว่าทั้งด้านชีวิตและการเงินเมื่อโตขึ้น