มติมส. มอบ เจ้าคณะใหญ่ เรียกตัว 5 พระชั้นผู้ใหญ่ ชื่อเกี่ยวพัน สีกาก. รายงานตัวด่วน ไม่มามีโทษ
มติมส. มอบ เจ้าคณะใหญ่ เรียก 5 พระชั้นผู้ใหญ่ ชื่อเกี่ยวพัน สีกากอล์ฟ รายงานตัวด่วน ไม่มามีโทษ
จากกรณีภายหลังจาก นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พร้อมด้วย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้ากราบนมัสการ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) กรรการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหากรณีพบพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายรูปกระทำผิดวินัยสงฆ์อย่างร้ายแรง ด้วยการแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกา ก.
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่13 กรกฎาคม 2568 ที่วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) วาระพิเศษ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ในขณะนี้
นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.พศ. แถลงภายหลังการประชุม 1 ชั่วโมง ว่า วันนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษ จึงนิมนต์กรรมการมหาเถรสมาคมมาพูดคุยเป็นการเร่งด่วน โดยการประชุมวันนี้กรรมการมีข้อห่วงใยและมีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง สามารถสรุปได้ 2 เรื่อง เป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้า และแนวทางป้องกันในอนาคตเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มีมาตั้งแต่ 2505 อาจจะไม่ทันสมัย รวมถึงกฎระเบียบมหาเถรสมาคมอาจจะต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำ หลังจากเมื่อวานที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไปพบ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่วัดไตรมิตร และได้นำรายชื่อพระ ที่ปรากฏเป็นข่าวในปัจจุบัน 11 รูป ที่ขอความเมตตาให้คณะสงฆ์ดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการมี 2 กรณีใน 11 รูป มีส่วนที่ลาสิกขาไปแล้ว ซึ่งถือว่าสิ้นสุดสถานภาพการเป็นพระภิกษุไม่สามารถดำเนินการทางวินัยได้ เพราะสิ้นสภาพการเป็นพระแล้ว
ทั้งนี้ หากบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเงินของวัดและมีเส้นทางการเงินที่กระทำผิดทางอาญา ก็ให้ตำรวจก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
นายอินทพร กล่าวต่อว่า มส.มีมติมอบหมายเจ้าคณะใหญ่แต่ละหน เรียกตัวพระที่มีรายชื่อ มาชี้แจงขอเท็จจริง ต่อเจ้าคณะผู้ปกครอง หากไม่มาถือว่าละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ อาจจะถูกปลด ถอดถอนจากตำแหน่งได้ และอยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหลักฐานส่งให้เจ้าคณะใหญ่ด้วย จะได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน
ด้าน รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการพระพุทธศาสนา รักษาราชการแทนผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม แถลงว่า การประชุมเถรสมาคมวาระพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ที่ประชุมมีมติดังนี้ 1.มหาเถรสมาคม น้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ ที่มีข้อมูลและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ทั้งนี้ มหาเถรสมาคม มีหน้าที่ธำรงรักษาพระธรรมวินัยและจริยาของคณะสงฆ์ หากความปรากฏว่า รูปใดต้องอาบัติปาราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสละสมณเพศตามกฎหมายโดยทันที
ส่วนในกรณีที่แม้อาบัติยังไม่ถึงขั้นปาราชิก แต่มีความร้ายแรงรองลงมา เช่น อาบัติสังฆาทิเสสทั้ง 23 ข้อ หากผู้ต้องอาบัตินั้น ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ หรือเป็นผู้ได้รับสมณศักดิ์ เมื่อความปรากฏ หรือกระบวนการนิคหากรรมพิสูจน์แล้วว่าต้องอาบัติดังกล่าว แม้จะยังคงสถานะภิกษุอยู่ ก็ถือว่าเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง มหาเถรสมาคมจะดำเนินการปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชาธานุญาตสมณศักดิ์ต่อไป
2.ในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะใหญ่ จนถึงเจ้าอาวาส ตลอดจนพระวินยาธิการ ต้องสำนึกในหน้าที่ และทำตามหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่ โดยให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ดำเนินการตรวจสอบ ดูแล และกำกับพฤติกรรมของพระภิกษุในปกครองอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ ตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎระเบียบ คำสั่ง มติคณะสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หากปรากฏพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิดพระธรรมวินัย ให้เร่งดำเนินการสอบสวนตามกฎมหาเถรสมาคมโดยมิชักช้า แล้วรายงานต่อมหาเถรสมาคมโดยเร็ว
3.นโยบาย กรณีพระภิกษุ ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ ดังนี้
3.1 กรณีพระภิกษุ กระทำความผิดทางพระธรรมวินัย หากปรากฏว่ามีมูลหรือเข้าข่ายละเมิดพระวินัย ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตามลำดับชั้น ออกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย และเป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคม และพระสังฆาธิการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 24-27 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานและสนับสนุนการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว
3.2 ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่มิใช่เจ้าคณะพระสังฆาสังมาธิการ ตำแหน่งหน้าที่ปกครอง หรือมิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยกิจการพระพุทธศาสนาและการคณะสงฆ์ แต่พบเห็นพยานหลักฐาน หรือพฤติการณ์ กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย และมีกุศลเจตนาต่อการปกป้อง คุ้มครองพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ เข้าบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าคณะพระสังมาธิการ พระวินยาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อจักได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางพระธรรมวินัย กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม
3.3 ในกรณีที่ยังไม่มีคำพิพากษา การลงโทษตามกระบวนการนิคหกรรม หรือหลักฐานยืนยันความผิดอย่างชัดเจน ทั้งตามกฎหมายบ้านเมืองและพระธรรมวินัย พึงระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน และสาธารณชน ด้วยเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาย่อมถูกสันนิษฐานว่า ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะต้องคำพิพากษา หรือคำตัดสินว่ากระทำความผิด
4.ให้เร่งปรับปรุงกลไกการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปอย่างเข้มงวด รวดเร็ว รอบคอบ และรัดกุม โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานหลัก ระหว่าง คณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับพระภิกษุ ผู้ถูกกล่าวหา ชอบด้วยพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่รับเรื่องราว ประมวลข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมเสนอแนวทางการดำเนินการ ต่อมหาเถรสมาคม เพื่อประกอบดำริในการตรากฎหมาย กฎระเบียบ ออกคำสั่ง หรือมีมติ หรือนำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อขอประทานพระวินิจฉัย
5.กระบวนการทั้งปวง ต้องจัดลำดับความสำคัญของการตรากฎหมาย กฎระเบียบ ออกคำสั่งหรือมีมติ ตามหลักความสำคัญเชิงนโยบาย ดังนี้
5.1 หลักพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นหลักการสูงสุดสำหรับวินิจฉัย กรณีพระภิกษุผู้กระทำละเมิดพระวินัย
5.2 หลักความยุติธรรม ปราศจากอคติ รอบคอบ รัดกุม รวดเร็ว เป็นอิสระ คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
5.3 หลักการปกครองคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎระเบียบ คำสั่ง และมติโดยชอบโดยเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ผู้ปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับ สิ้นสุดที่มหาเถรสมาคม และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
ทั้งนี้ การปกครองบังคับบัญชาคณะสงฆ์ ต้องกระทำ โดยผู้มีอำนาจตามพระธรรมวินัย และกฎหมายเท่านั้น
5.4 หลักการบังคับใช้พระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง และมติ อันเป็นส่วนปกครองคณะสงฆ์ อย่างเข้มงวด จริงจังต่อผู้ละเมิดพระวินัย โดยได้ดุลยภาพกับการปกป้อง คุ้มครองผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ถูกสันนิษฐานว่ายังบริสุทธิ์ มิให้ได้รับผลร้ายจากกระบวนการอันมิชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง และมติคณะสงฆ์ อีกทั้งความเสียหายจาก กระแสข้อมูลข่าวสารอันคลาดเคลื่อน
6.แนวทางการทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบของคณะสงฆ์ ว่าด้วยการกระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ มหาเถรสมาคมเห็นควร ขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้ แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษ เพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีหน้าที่ศึกษาและทบทวน กฎมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวข้องกับนิคหกรรม อำนาจตามกฎหมายของพระสังฆาธิการ พระวินยาธิการ และ ข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน แนวทางการสื่อสารกับสาธารณชน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพระภิกษุ ผู้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หรือ ถูกสันนิษฐาน ว่า ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ รวมถึงแนวทางบูรณาการ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย
สำหรับสถานะพระ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ1.กลุ่มที่ลาสิกขาไปแล้ว คือ อดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ อดีตพระครูปลัดสุรพล อิทธิเตโช อดีตเจ้าอาวาสวัดพรหมเกษร ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อดีตพระเทพวชิรธีราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี อดีตพระเทพวชิรธีรคุณ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพฯ อดีตพระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ วัดใหม่ยายแป้น กรุงเทพฯ และอดีตพระครูสิริวิริยธาดา วัดโสธรวราราม จ.ฉะเชิงเทรา
2.ยังไม่ยืนยันสถานะ ติดต่อไม่ได้ คือ พระราชรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก พระปริยัติธาดา วัดกัลยาณมิตร นายอินทพร ซึ่งทราบว่าไม่ได้อยู่ที่วัดแล้วทั้ง2 รูป แต่การจะยืนยันสถานะได้นั้น จะต้องมีหลักฐานเป็นรูปภาพ หรือหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมส.มีมติให้เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เรียกมาชี้แจงข้อเท็จจริง หากไม่มาจะถือว่ามีโทษ
3.กลุ่มที่ยังมีสถานะพระภิกษุ คือ พระเทพปวรเมธี วัดประยุรวงศาวาส และพระเทพวัชรสิทธิเมธี เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ซึ่งมส.มีมติให้ขอความร่วมมือ เจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ส่งข้อมูลให้เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง โดยตรง และ4.ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว คือ พระเทพพัชราภรณ์ วัดชูจิตธรรมาราม
โดยพระสงฆ์ที่ยังไม่ยืนยันสถานะ 5 รูปนั้น จะแจ้งให้มารายงานตัวโดยด่วน โดยหนังสือที่จะเรียกตัวพระสงฆ์นั้น เจ้าคณะใหญ่จะเป็นผู้ทำหนังสือแจ้ง จะมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน หากไม่มาจะมีโทษ ทั้งพักหน้าที่ ถอดถอนจากตำแหน่ง เพราะถือว่าทำให้เกิดความเสียหาต่อคณะสงฆ์อย่างร้ายแรง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : มติมส. มอบ เจ้าคณะใหญ่ เรียกตัว 5 พระชั้นผู้ใหญ่ ชื่อเกี่ยวพัน สีกาก. รายงานตัวด่วน ไม่มามีโทษ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th