นักวิเคราะห์ตะวันตกทึ่งยุทธวิธีโดรนกองทัพไทย ชี้ล้ำสมัยยิ่งกว่านาโต
"เดอะ เทเลกราฟ" สื่อของสหราชอาณาจักร เผยแพร่บทความชื่อ "ไทยนำรูปแบบสงครามโดรนแบบยูเครนมาใช้โจมตีกองกำลังกัมพูชา" มีใจความสำคัญ ว่าตอนนี้มีการนำโดรนมาปรับใช้เป็นอาวุธโจมตีในสมรภูมิมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักเป็นทางเลือกของฝ่ายที่เป็นรองในการสู้รบ ชัดเจนที่สุด คือการใช้โดรนของยูเครนที่มีต่อรัสเซีย ซึ่งจนถึงตอนนี้ ยูเครนยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้อาวุธสังหารของตัวเองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา กลับกลายเป็นว่า ฝ่ายไทยซึ่งมีกองทัพที่เหนือกว่ากัมพูชาอยู่แล้ว ยิ่งเป็นผู้ที่ครองความได้เปรียบเรื่องโดรน ที่กลายมาเป็นอาวุธหลักขกองทัพสมัยใหม่ เรื่องนี้สะท้อนถึงการปฏิวัติในสนามรบด้วยโดรน และควรเป็นกรณีศึกษาสำหรับชาติตะวันตก
นายมาร์เซล พลิคทา อดีตนักวิเคราะห์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามโดรน กล่าวกับ เดอะ เทเลกราฟ ว่าปฏิบัติการของกองทัพไทยแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากสงครามในยูเครน และปฏิบัติการโดรนของกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา อีกทั้งยิ่งตอกย้ำว่า กองทัพกัมพูชายังตามไทยไม่ทันในเรื่องขีดความสามารถของโดรน
ด้านดร.ราห์มาน ยาค็อบ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและกลาโหมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสถาบันวิจัยโลวี กล่าวว่า “ยูเครนและเมียนมามีความคล้ายกัน เพราะพวกเขาใช้โดรนเป็นตัวคูณทางยุทธศาสตร์ในการรับมือกับฝ่ายตรงข้าม” ส่วนไทย “ผมคิดว่าไทยเฝ้าดูและเรียนรู้มาโดยตลอด และตอนนี้พวกเขาใช้โดรนเพื่อโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพกัมพูชา”
“เป้าหมายแรกคือกองบัญชาการ และเป้าหมายที่สองคือคลังแสง เมื่อโจมตีสองจุดนี้ได้ จะสร้างความสับสนให้กับระบบบัญชาการและทั้งประเทศ และเมื่อห่วงโซ่อุปทานถูกรบกวน ศัตรูก็จะไม่สามารถปฏิบัติการได้อย่างเสรีหรือเปิดฉากโจมตีได้”
แม้กัมพูชาใช้โดรนลาดตระเวนบ้าง อย่างไรก็ตาม ไทยกลับเปิดฉากโจมตีด้วยโดรนควอดคอปเตอร์ โดรนมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (เอฟพีวี) และโดรนพิฆาต โดยทำงานร่วมกับอาวุธแบบดั้งเดิม เช่น เครื่องบินเอฟ-16
แม้โดรนส่วนใหญ่ที่ใช้มีแนวโน้มว่า กองทัพไทยซื้อมาจากสหรัฐ หรืออิสราเอล แต่เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา กองทัพอากาศไทยเพิ่งทดสอบโดรนพิฆาตที่พัฒนาเองในประเทศ และประสบความสำเร็จด้วย
นอกจากนี้ กลยุทธ์ของไทยยังหักล้างข้อโต้แย้งจากฝั่งตะวันตกบางประการที่ว่า โดรนไม่เหมาะกับภูมิประเทศแบบป่าดิบ เนื่องจากพื้นที่สู้รบส่วนใหญ่ระหว่างไทยกับกัมพูขา เกิดขึ้นในป่าเขาตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก
พลิคทากล่าวว่า “มีสมมุติฐาน โดยเฉพาะจากตะวันตก ที่เชื่อว่าโดรนจะไม่สามารถใช้ได้ผลในลักษณะนี้ เพราะภูมิประเทศหนาแน่นและมีพืชพรรณปกคลุมหนาแน่น แต่จากภาพที่ปรากฏออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นเช่นนั้น”
ขณะที่ดร.ยาค็อบกล่าวเสริมว่า การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มงบลงทุนในโดรนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจทำให้หลายประเทศต้องทบทวนระบบป้องกันภัยทางอากาศของตนใหม่
นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายังสะท้อนให้เห็นว่า สงครามยุคใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพียงใด
นายโรเบิร์ต โทลลาสต์ นักวิจัยจากหน่วยสงครามภาคพื้นดินของหน่วยงานป้องกันและรักษาความปลอดภัยของสหราชอาณาจักร หรือ อาร์ยูเอสไอ ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมอง กล่าวว่า กองทัพไทยดูเหมือนจะ “ก้าวหน้านำหน้ากองทัพนาโตในด้านนี้อยู่มาก” เนื่องจาก “นี่คือความขัดแย้งระหว่างรัฐต่อรัฐครั้งที่สอง ต่อจากยูเครนกับรัสเซีย ที่มีการใช้โดรนพาณิชย์แบบมัลติโรเตอร์” และ “ผลกระทบจากเรื่องนี้มีนัยสำคัญที่ชัดเจนต่อนาโตและพันธมิตร”.
เครดิตภาพ : AFP