ศึกชายแดนทิ้งแผลในใจ ‘เด็ก’ ไม่เกิดขึ้นทันที ใช่ว่าไม่มีอะไร
เด็กบางรายมีส่วนร่วมในช่วงโกลาหล ต้องหลบภัย พบเห็นความรุนแรง สิ่งเหล่านี้ยากจะล่วงรู้ว่ามีผลกระทบต่อจิตใจมากน้อยแค่ไหน
“ทีมข่าวอาชญากรรม” สอบถามกับ ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ถึงข้อห่วงใย ตลอดจนจุดสังเกตผลพวงที่อาจทิ้งไว้ในความทรงจำของเด็ก ๆ โดยระบุ ในเหตุการณ์หรือวิกฤติต่าง ๆ เด็กถูกจัดเป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีหลายกลุ่มและวิธีการดูแลที่แตกต่างกันไป ไม่ว่ากลุ่มผู้พิการ กลุ่มสูงอายุ เด็ก หรือผู้ป่วยเรื้อรัง กลุ่มเด็กมีความต่างเพราะปฏิกิริยาตอบสนองที่จะไม่เหมือนทั่วไป เช่น ในผู้ใหญ่ที่อาจรับได้ แต่เด็กอาจไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ยิงกันคืออะไร
สิ่งสำคัญอันดับแรกจึงเป็นการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยข้อเท็จจริง เพราะเด็กย่อมสงสัยเหตุใดต้องย้ายออกจากบ้าน เหตุใดไม่สามารถไปเรียนได้ นอกจากนี้ เด็กไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ของตนเองได้ดีเท่าผู้ใหญ่ เครียดหรือเศร้าก็บอกไม่ได้ แต่อาจแสดงออกผ่านการร้องไห้ โดยที่การร้องไห้นั้นก็ไม่สามารถเป็นคำอธิบายได้ว่าเด็กรู้สึกอย่างไร
รวมถึงอาจแสดงออกผ่านพฤติกรรมแทน เช่น แยกตัว นอนไม่หลับ นอนฝันร้าย สะดุ้งตื่นกลางคืน ขวัญผวา หวาดกลัว และท้ายสุดเด็กอาจมีพฤติกรรมซึมซับเรื่องราวมากกว่าผู้ใหญ่
หากถามระดับความเครียดเด็กที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ทั้งเสียงปืนใหญ่ เสียงระเบิด การย้ายที่อยู่ ดร.นพ.วรตม์ ระบุ อาจไม่ได้จัดระดับ แต่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องสังเกตคือ ความเครียดนั้นส่งผลและมีปัญหาปรับตัว ต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ปรับตัว อาทิ เมื่อเหตุการณ์จบแล้ว ช่วงแรกอาจมีอาการหวาดผวาซึ่งยังไม่ใช่ระดับที่ย่ำแย่ แต่ถ้ามีอาการเจ็บป่วยทางจิตเวช เช่น PTSD หรือภาวะเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง เด็กบางรายอาจป่วยด้วยอาการนี้ได้
“โดยเฉพาะเด็กที่ได้วิ่งหนีหลบระเบิด หลังจบเหตุช่วงแรก เด็กอาจไม่มีอาการ แต่สักพักผ่านไป 1 เดือน เวลาได้ยินเสียงดัง อาจรู้สึกหวาดผวา ยังไม่กล้ากลับไปโรงเรียน เพราะครั้งเกิดเหตุเด็กอาจได้วิ่งหลบภัยในบังเกอร์ ต้องจับสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อาจพูดน้อยลงหรือไม่ หรือแยกตัวผิดปกติหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม หากเด็กได้รับความช่วยเหลือรวดเร็ว สามารถระบายผ่านการเล่น วาดรูประบายสี หรือทำกิจกรรม สิ่งเหล่านี้เป็นการทำให้เด็กระบายความรู้สึกอัดอั้น ลดเสี่ยงเกิด PTSD แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะในบางเคส แม้ผ่านไป 6 เดือน เด็กอาจเพิ่งมามีอาการ PTSD ก็ได้ พร้อมแนะนำผู้ปกครองต้องให้เด็กพบแพทย์หากมีอาการเข้าข่าย เพราะหากปล่อยไว้นานอาจกระทบกับพัฒนาการเป็นโรค หรือมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ที่รุนแรงตามมา ยกตัวอย่าง เคสเด็กที่เคยเจอว่ามีอาการ PTSD ระดับรุนแรงคือ มีการทำร้ายตัวเอง
เด็กที่ได้เผชิญเหตุถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องมีการติดตาม โดยผู้ปกครองมีบทบาทมากในการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม อาทิ ด้านอารมณ์ จากยิ้มแย้มแจ่มใสกลายเป็นเด็กอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิด ก้าวร้าว หรือด้านความคิด เดิมคิดเร็วว่องไว กลับเป็นคนคิดช้า ฟุ้งซ่านหรือไม่ รวมถึงอาการสะดุ้งกลัว หวาดผวาบ่อยหรือไม่ การติดตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอาจต้องใช้เวลา 6 เดือน-1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว
สำหรับการดูแลสภาพจิตใจเด็กภายในศูนย์พักพิงอพยพชั่วคราว มีการแบ่งเป็น 1.กลุ่มเด็กเผชิญเหตุ หรือสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หรือได้รับบาดเจ็บ 2.กลุ่มเด็กที่รับรู้เหตุการณ์ แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และ 3.กลุ่มเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลออกไป หรือรับรู้ข่าวสาร
ดร.นพ.วรตม์ เผยว่าการรับมือต่อสถานการณ์ของเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นมีความแตกต่าง เด็กโตจะมีความเข้าใจเหตุการณ์มากกว่า สามารถเล่าได้ว่าตนเองรู้สึกหรือเครียดอย่างไร เวลาที่เด็กโตพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือแพทย์ จะสามารถพูดคุยและบริหารจัดการได้ ขณะเด็กเล็กอาจเหมือนไม่มีอาการ จนทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมาก เพราะคิดว่าเด็กเล็กไม่ได้รับผลกระทบ
“การที่เด็กดูเหมือนไม่มีอาการมันก็หมายความได้ว่า เด็กไม่รู้ว่าต้องแสดงออกอย่างไร บ่อยครั้งที่ผู้ปกครองเป็นผู้ประสบเหตุด้วยตัวเองเช่นกัน อาจมีความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อบุตรหลาน ดังนั้น ผู้ปกครองก็มีหน้าที่ต้องดูแลสุขภาพจิตใจของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อสามารถไปดูแลคนรอบข้าง หรือสมาชิกในครอบครัวได้”
ดร.นพ.วรตม์ ยังสะท้อนเพิ่มเติมถึงการปลูกฝัง หรือการขาดความเข้าใจของเด็กถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนและมีการปะทะกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และเป็นปัญหาเชิงระบบ เพราะการมีภาวะสงครามระหว่างประเทศ หรือความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน จะเป็นการปลูกฝังความคิดและความเชื่อต่อเด็กค่อนข้างสูง ซึ่งไม่ใช่เพียงระยะเวลาอันสั้นที่จะหายไป แต่กลับใช้ระยะเวลายาวนาน
พร้อมเปรียบเทียบกรณีตัวอย่างประเทศแถบเอเชียตะวันออกที่มีการสู้รบกันถึง 2-3 ประเทศ ส่งผลให้คนจำนวนหนึ่งที่ไม่ชอบประเทศที่อยู่ตรงนั้น หรือแม้แต่ประเทศที่เป็นปัญหาคู่กรณีกับไทยอยู่ในปัจจุบันก็มีมุมมองสะท้อนการปลูกฝังไม่ให้ชื่นชอบประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้น จึงไม่ต้องไปมองไกลถึงการรบของต่างประเทศที่รบกันมายาวนาน เพราะเด็กหลายคนตรงนั้นเกิดมาก็ได้รับสารแล้วว่า “เพราะประเทศนั้นทำให้เราเป็นแบบนี้” กลายเป็นการสั่งสมความแค้นประกอบความเชื่อ โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อของเด็กในภาวะภัยสงคราม อาจใช้เวลาสูงสุดถึง 10 ปี ท้ายสุดผู้ปกครองเองก็ต้องทำหน้าที่อธิบายด้วยข้อเท็จจริง แม้มีมวลความโกรธแต่ก็ต้องใช้เหตุและผลให้เด็กเข้าใจ.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน