เช็ก 10 หุ้น SET50 รีบาวนด์แรงในรอบ 1 เดือน
ตลาดหุ้นไทยช่วงหลัง ๆ เริ่มมีความคึกคักหลังจากปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงได้อีกครั้ง หลังจากพบว่าจุดต่ำสุดในปี 2568 เมื่อช่วงวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โดย SET Index มีการปรับตัวขึ้นมามากกว่า 100 จุดแล้ว หุ้นขนาดใหญ่ มาร์เก็ตแคปสูง ๆ ที่มีส่วนกับดัชนี SET Index ได้ขยับราคาขึ้นมา ขณะที่ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยเป็นระยะๆ และเมื่อสำรวจ ดัชนี SET50 ในรอบ 1 เดือน พบว่ามีหุ้นชั้นนำที่มีอัตราเปลี่ยนแปลงราคาเพิ่มขึ้นมามากที่สุดใน 10 อันดับแรก
1.บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) DELTA
- อัน เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 1.78 ล้านล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 96.25 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 142.50 บาท
- เพิ่มขึ้น 46.25 บาท หรือเพิ่มขึ้น 48.05%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 173.50 / 51.25 บาท
บล.เอเซีย พลัส เผยว่า แนวโน้มกําไรปกติในไตรมาส 3/68 คาดโตขึ้นได้ทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากคาดยอดขายจะได้ผลบวกจากฤดูกาล ที่โดยปกติแล้วไตรมาส 3 ของทุกปี จะเป็นช่วง High season ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ ขณะที่ภาษีตอบโต้จากสหรัฐได้เลื่อนการบังคับใช้จากเดิมต้น ก.ค.2568 เป็น ส.ค.2568
2.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT
- ปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ (รักษาการ)
- มาร์เก็ตแคป 553,571 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 29.00 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 38.75 บาท
- เพิ่มขึ้น 9.75 บาท หรือเพิ่มขึ้น 33.62%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 65.00 / 26.75 บาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่า AOT จะรายงานกําไรปกติไตรมาส 3/68 (เม.ย.-มิ.ย. 2568) ที่ 3 3.7 พันล้านบาท ลดลง 19% YoY และ 29% QoQ สะท้อนถึงช่วงโลว์ซีซันที่ อ่อนแอ เพราะถูกฉุดรั้งโดย จํานวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ลดลงที่ 17.1 ล้านคน ลดลง 4% YoY และ 20% QoQ ซึ่งได้รับผลกระทบจากตลาดจีนที่ยังคงอ่อนแอต่อเนื่องและเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ขณะที่รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ลดลง 15% YoY และ 5% QoQ หลังการขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ (เดือนก.ค. และ พ.ย.2567) และการปิดร้านค้าปลอดอากรสําหรับผู้โดยสารขาเข้า (เดือน ส.ค. 2567) และอัตรากําไรจากการดําเนินงานที่ลดลงมาอยู่ที่ 38.9% จาก 4 ใน 3 ปี 2567 และ 45.9% ในไตรมาส 2/68 โดย AOT จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 13 ส.ค.2568
3.บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) AWC
- วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 67,227 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 1.60 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 2.10 บาท
- เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 31.25%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 3.94 / 1.55 บาท
บล.กรุงศรี คำแนะนำ AWC เป็น “ถือ” หลังจากปรับราคาเป้าหมายลงเหลือ 2.20 บาทจากเดิม 4.20 บาท เพื่อสะท้อนผลกระทบจากการชะลอตัวของการท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยคาดว่ารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่จะทรงตัวในปี 68 นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มประมาณการค่าใช้จ่ายลงทุน สำหรับปี 2568-2570 เป็น 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี (จากเดิม 1 หมื่นล้านบาท) เนื่องจาก AWC มีแผนเพิ่มจำนวนห้องพักขึ้น 39% เป็น 8,358 ห้องภายในปี 2570
ทั้งนี้ ผู้บริหารยอมรับว่าอาจมีการชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาด MICE ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2568 โดยโรงแรม MICE คิดเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้จากโรงแรมทั้งหมด แม้จะมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในต่างจังหวัดและมีการควบคุมต้นทุนแต่ก็อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE และ RevPAR ที่ลดลงในกรุงเทพฯ ได้ เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2568-2569 ลง 29-31% ปัจจุบัน AWC ซื้อขายที่ระดับ P/E ปี 68 ที่สูงถึง 32 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มท่องเที่ยวไทยที่ 22 เท่าความเสี่ยงหลักของ AWC ได้แก่การลงทุนมากเกินไปในสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และอุปทานโรงแรมและสำนักงานที่เพิ่มขึ้น
4.บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR
- ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 159,600 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 10.20 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 13.30 บาท
- เพิ่มขึ้น 3.10 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30.39%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 17.80 / 10.10 บาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยว่า OR ปัจจุบันอยู่ระหว่างมองหาธุรกิจใหม่ทดแทนเท็กซัสชิคเก้น โดยเป็นธุรกิจฟาสต์ฟู้ดที่คนไทยคุ้นเคย ราคาไม่แพงมาก คาดได้ข้อสรุปไตรมาส 3/68 ตั้งเป้าหมายเปิดสาขา 5-10 สาขาในปีนี้ และ 40 สาขาปีหน้า ทางด้านธุรกิจ found & found ซึ่งเกิดค่าใช้จ่ายในช่วงทดลองตลาด OR มองว่าจะใช้เวลา 2 ปี โดยจะพิจารณาทบทวนแผนธุรกิจอีกครั้ง ทั้งนี้ เรามองกำไรของธุรกิจ Lifestyle เติบโตเด่นในปีนี้ตามการควบคุมค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ และปีที่แล้วมีค่าใช้จ่ายพิเศษการยุติธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำใหม่เป็น “ซื้อ” ตาม Upside ที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้น OR ปรับตัวลง -13% หลังประกาศกำไรไตรมาส 1/68 ที่ดีกว่าคาดซึ่งเรามองว่าได้สะท้อนแรงขายทำกำไรระยะสั้นไปแล้ว ทำให้มี Upside เพิ่มเป็น +17%
5.บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) CRC
- สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 127,857 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 16.30 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 21.20 บาท
- เพิ่มขึ้น 4.90 บาท หรือเพิ่มขึ้น 30.06%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 36.00 / 15.80 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผย CRC ระบุว่า การดำเนินงานในระยะ 3 ปี (2025-2027) บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้และ EBITDA เติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ด้วยกลยุทธ์การขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆเจาะกลุ่มลูกค้า B2B มากขึ้นปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย เน้นการคุมค่าใช้จ่ายและปรับแผนลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวโดยแผนการรับมือจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
1.บริษัทระมัดระวังมากขึ้นในการใช้เงินลงทุนเพื่อการรีโนเวทและขยายสาขาบริษัทตั้ง CAPEX ตลอด 3 ปีที่ราว 4.5-4.7หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ย 1.5 หมื่นล้านบาท ต่อปีลดลงเมื่อเทียบกับปี 2022-2024 ที่ใช้งบลงทุนสูงถึง 2.0-2.6หมื่นล้านบาท ในการขยายธุรกิจ
2.เน้นควบคุมค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะเกี่ยวกับพนักงานและด้าน IT (ความเชี่ยวชาญของ CEO ท่านใหม่) และ
3.เพิ่ม Synergyในการดำเนินงานระหว่างหน่วยธุรกิจใน CRC และกับเครือ Central Group บริษัทคง Guidance ปี 2025 คาดรายได้เติบโต 4-6% YoY สำหรับปี 2025 ผู้บริหารคงเป้าหมายการเปิดสาขาใหม่โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ Food และร้านไทวัสดุ คงเป้ารายได้รวมเติบโต 4-6%YoY เน้นการควบคุมต้นทุนโดยเฉพาะ SG&A และต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเพื่อผลักดันการทำกำไรส่วน CAPEX ที่มีการปรับลงเหลือ 1.5-1.7 จากเดิม1.7-1.9หมื่นล้านบาท เพื่อบริหารสภาพคล่องและบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุนมากขึ้น ในมุมมองของเราอาจการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลหรือโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นต้น
6.บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) CCET
- คงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ
- มาร์เก็ตแคป 67,925 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 5.05 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 6.50 บาท
- เพิ่มขึ้น 1.45 บาท หรือเพิ่มขึ้น 28.71%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 11.00 / 3.10 บาท
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เผยคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CCET โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 9.00 บาทจากการคาดการณ์ว่า กำไรหลักจะเติบโต 4%/31% ในปี 2568/2569 ตามลำดับ จากการเติบโตของยอดขายที่แข็งแกร่งและการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จากสัดส่วนสินค้า (product mix) ที่ดีขึ้นแม้เราคาดว่ากำไรหลักในไตรมาส 2/68 จะอ่อนแอและมีดาวน์ไซด์ต่อประมาณการกำไรปี 2568 ราว 5-10% หลังยอดขายเดือนมิถุนายน 2568 ต่ำกว่าคาดแต่เรายังเชื่อว่ากำไรจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2568 และในปี 2569 จากลูกค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องพิมพ์เลเซอร์ 2 รายและการเริ่มกลับมาสั่งซื้อใหม่ (restocking) หลังลูกค้ามีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นภาษีหุ้น CCET มีการซื้อขายที่ระดับ PE ปี 2569 ที่ 13.6 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีประมาณ -0.5SD
7.บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) TIDLOR
- ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 50,679 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 13.60 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 17.50 บาท
- เพิ่มขึ้น 3.90 บาท หรือเพิ่มขึ้น 28.68%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 18.00 / 13.40 บาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่ากําไรสุทธิไตรมาส 2/68 ของ TIDLOR จะเพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 15% YoY มาอยู่ที่ 1.25 พันล้านบาท โดยกําไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% QoQ ได้แรงหนุนจากสินเชื่อที่เติบโตเร่งตัวขึ้นตามฤดูกาล NIM ที่ดีขึ้น และ credit cost ที่ลดลง แต่รายได้ค่านายหน้าประกันภัยลดลง ขณะที่กําไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% YoY ได้แรงหนุนจาก ECL ที่ลดลง สินเชื่อที่เติบโตในระดับปานกลาง NIM ที่ดีขึ้น และรายได้ค่านายหน้าประกันภัยในระดับปานกลาง
8.บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) OSP
- วรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 52,265 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 13.80 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 17.40 บาท
- เพิ่มขึ้น 3.60 บาท หรือเพิ่มขึ้น 26.09%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 24.30 / 12.90 บาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดกําไรไตรมาส 3/68 อ่อนตัวลงเราคงประมาณการรายได้ปี 2568 ไว้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว) โดยใช้สมมติฐานว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศจะลดลงเล็กน้อยขณะที่ยอดขายเครื่องดื่มต่างประเทศจะเติบโต 15% และยอดขายผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลจะเติบโต 5-10% ด้วยแรงสนับสนุนจากประสิทธิภาพด้านต้นทุนและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงเราคาดว่าอัตรากําไรขั้นต้นเฉลี่ยในปี 2568 จะอยู่ที่ 39% เพิ่มขึ้นจาก 37.3% ในปี 2567
ดังนั้นจึงคาดการณ์กําไรปกติปี 2568 ที่ 3.26 พันล้านบาท +2.6% โดยคาดการณ์กําไรสุทธิ (รวมกําไรพิเศษในไตรมาส 1/68) ที่ 3.56 พันล้านบาท (+117%) สําหรับ ไตรมาส 3/68 เราคาดว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศจะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากการเติมสต๊อกสินค้าขณะที่ยอดขายต่างประเทศจะลดลง QoQ ปัจจัยเสี่ยงและความกังวลการแย่งยอดขายกันเองระหว่างสินค้าของบริษัทความเคลื่อนไหวของส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศในปี 2568 ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบหลักๆการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอลงและเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงนโยบายของกลุ่มประเทศ CLMV ความเสี่ยงด้าน ESG การบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ และสวัสดิภาพของลูกค้า
9.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC
- ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่มาร์เก็ตแคป 234,000 ล้านบาท
- มาร์เก็ตแคป 234,000 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 155.50 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 195.00 บาท
- เพิ่มขึ้น 39.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 25.40%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 255.00 / 124.50 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศ) ไตรมาส 3/68 รับรู้ราคาขายปูนสูงขึ้นลุ้นกลับมาเปิด LSP ประมาณการมี Upside จากกำไรพิเศษแม้ช่วงไตรมาส 3/68 จะมีรายได้เงินปันผลรับลดลงตามฤดูกาล, ธุรกิจวัสดุก่อสร้างยังอยู่ช่วง Low Season ในฤดูฝนและอุปสงค์ภาคที่อยู่อาศัยอ่อนแออย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติประคองตัวQoQ จากการทยอยปรับเพิ่มราคาขายปูนต่อเนื่อง, ปริมาณขายปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นช่วงเตรียมการผลิตรองรับเทศกาลปลายปี, โอกาสกลับมาเปิดใช้งาน LSP ช่วงเดือนส.ค.-ก.ย., ไม่ต้องรับภาระส่วนแบ่งขาดทุนของ CAP หากกำไรไตรมาส 1/68 ตามคาดจะคิดเป็น 46% ของทั้งปีคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 7.4 พันล้านบาท +17%YoY ทั้งนี้ คาดการณ์ของเรายังไม่รวม Upside จากกำไรพิเศษของ CAP เช่น การปิดดีลซื้อโรงกลั่นและปิโตรเคมีในสิงคโปร์,กำไรจากการขายหุ้น CAP 10.57%, กำไรจากการ Reclassification เงินลงทุน CAP
10.บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG
- เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 57,500 ล้านบาท
- ราคาปิด 23 มิ.ย.2568 ที่ 47.00 บาท
- ราคาปิด 23 ก.ค.2568 ที่ 57.50 บาท
- เพิ่มขึ้น 10.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 22.34%
- ราคาสูงสุด/ ต่ำสุดในรอบปีที่ 82.00 / 46.50 บาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่าจะเห็นผลประกอบการออกมาดีอีกครั้งในไตรมาส 4/68 โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของยอดขายเครื่องดื่มชูกําลังและปริมาณขายเพิ่มเติมจากโรงงานใหม่ 2 แห่งในต่างประเทศเราคงประมาณการของเราไว้ว่ากําไรสุทธิปี 2568 จะเติบโต 14.8% มาอยู่ที่ 3.26 พันล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่เติบโต 10% มาอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท และอัตรากําไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งจากการควบคุมต้นทุนได้ค่อนข้างดี