ยังต้องรอต่อไป! “วิทัย รัตนากร” ว่าที่ “ผู้ว่าฯธปท.” คนใหม่ ลุ้นครม.ไฟเขียว! เร่งแก้ปัญหา “การเงิน-หนี้เสีย-ภาษีสหรัฐ”
เจอโรคเลื่อนในการแต่งตั้ง “ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” คนใหม่ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา โดยเหตุผลนั้นมาจากคุณสมบัติที่ยังมีการถกเถียงกันในที่ประชุม ยังไม่สามารถหาข้อสรุปกันได้ จึงเป็นเหตุให้เลื่อนในการพิจารณาออกไป โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป!!
ทั้งนี้ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าฯธปท. กำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายน 2568 และรายชื่อผู้ว่าฯธปท.คนใหม่ เชื่อว่าจะเป็น “นายวิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน โดยบุคคลที่นำเสนอชื่อผู้ว่าฯธปท.คนใหม่ คือ “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือชื่อเข้าคณะรัฐมนตรีด้วยตนเอง
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวภายหลังประชุม ครม.ว่า ได้มีการยื่นชื่อแล้ว แต่อาจจะเสนอชื่อช้าไปนิดหนึ่ง ยืนยันสัปดาห์หน้าเข้าแน่นอน โดยไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ หรือเอกสารที่เกี่ยวเนื่องในการนำเสนอ
อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งผู้ว่าฯธปท.คนใหม่ ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะตำแหน่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงหัวเรือของนโยบายการเงิน หากแต่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยทั้งระบบในช่วงเวลาที่โลกกำลังหมุนเข้าสู่ยุคแห่งความผันผวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเมื่อได้ผู้ว่าฯธปท.คนใหม่แล้ว ก็ไม่มีเวลาที่จะมาแต่งตัว หรือขอเวลาศึกษาการทำงานก่อน ต้องพร้อมที่จะทำงานทันที!!
เพราะ “ภารกิจรออยู่ข้างหน้า” ไม่ใช่แค่การคาดเดาทิศทางของบุคคล แต่เป็นการประเมินความท้าทายเชิงระบบที่เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน การเงินในประเทศยังเปราะบาง และความคาดหวังของสังคมกำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้นทุกวัน ที่ต้องเร่งแก้ไขตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง
“ดร.กิริฎา เภาพิจิตร” ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึกของTDRI ระบุว่า ผู้ว่าฯธปท. คนใหม่ต้องเผชิญกับภาวะที่ไม่ปกติ โดยเฉพาะการที่ สหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มปรับขึ้นภาษีตอบโต้การค้า ซึ่งอาจกระทบกับสินค้าไทยรุนแรงกว่าที่คาดไว้ เดิม ธปท. ประเมินว่าไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีราว 18% แต่ TDRI ประเมินว่าอาจสูงเกิน 20% ซึ่งจะกดดันภาคการส่งออกให้ชะลอตัวอย่างมาก และกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม
นอกจากนั้นการขยายตัวเศรษฐกิจ-รายได้คนไทย คือโจทย์ใหญ่ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติต้องจัดการในช่วงที่เครื่องมือจำกัด TDRI เสนอว่า ผู้ว่าฯธปท. คนใหม่ควรใช้เครื่องมือเชิงนโยบาย เสนอใช้ 3 แนวทางหลัก – ชี้ดอกเบี้ย ยังมีบทบาท
1.คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง.พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของภาคประชาชน แม้อาจไม่ได้สะท้อนโดยตรงผ่านดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็ตาม
2.เน้นให้ดูแลค่าเงิน ไม่ให้แข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก
3.ประสานธนาคารเฉพาะกิจออก "ซอฟต์โลน" แบบช่วงโควิด-19 เพื่อป้องกันลูกหนี้เปลี่ยนสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) หรือเพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า
ขณะที่ด้าน “นายผยง ศรีวณิช” ประธานสมาคมธนาคารไทย และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ต้องรอผู้ว่าฯธปท.คนใหม่แถลงนโยบายก่อน ซึ่งมั่นใจว่าท่านมีประสบการณ์ในภาคการเงิน และระบบสถาบันการเงิน ก็พร้อมสนับสนุนนโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะนโยบายการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งในเชิงนโยบายการเงิน ยังเชื่อในเรื่องกลไกของตลาด และไทยอยู่ในระบบทุนนิยม หากไม่ยึดหลักเรื่องของ Incentive ที่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ระบบสถาบันการเงิน จึงเป็นกลไกหลักในการกระจายทรัพยากรทั้งเงิน และสภาพคล่องไปให้ถูกที่ และถูกทางอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากไปสู่นอกระบบ ทางสถาบันการเงินก็พยายามหาสะพานเชื่อม และพยายามช่วยให้ทุกคนเข้าสู่ระบบ ส่วนบางอย่างเข้าไม่ถึงก็ถือเป็นความท้าทาย
ส่วนภารกิจนโยบายการแก้หนี้ เชื่อว่าเป็นนโยบายอันดับแรกของรัฐบาล ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย ซึ่งทุกคนพยายามทำเต็มที่ แต่มีปัญหาซับซ้อนในเชิงโครงสร้าง และ ยังมองข้ามปัญหาในเชิงโครงสร้าง เช่น การเอื้อให้คนอยู่นอกระบบ และ มาแชร์ข้อมูลในระบบ จะเป็นการสร้างระบบนิเวศก่อให้เกิดการเอื้อประโยชน์ให้คนอยู่นอกระบบ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายเพราะระบบจะต้องทำให้ทุกคนเห็นเท่ากัน
เป็นการบ้านที่หนักอึ้งของ “ผู้ว่าฯธปท.” คนใหม่!
กับการที่ไม่มีเวลามานั่งศึกษาปัญหาเศรษฐกิจประเทศ-เศรษฐกิจโลก!
พร้อมลงมือทำตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีด!!!