วงในระบุไม่มีข้อเสนอเรื่องหมูจากไทยไปเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ แต่เนื้อวัวคงไม่รอด!
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 แหล่งข่าวในวงการคนเลี้ยงหมู เปิดเผยกับ “เดลินิวส์ ออนไลน์” เกี่ยวกับเงื่อนไขที่ประเทศไทย อาจจะต้องเปิดการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกา ระหว่างการเจรจาเรื่อง “ภาษีทรัมป์” ว่ามีกระแสข่าวจากผู้ประกอบการเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ ว่าไม่มีเงื่อนไขข้อเสนอดังกล่าวจากฝั่งไทยในการเจรจารอบนี้
โดยก่อนหน้านี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้เคลื่อนไหวไปทางรัฐบาล เพื่อไม่ต้องการเสนอเปิดนำเข้าหมูจากสหรัฐ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยข้อมูลว่าถ้าเปิดนำเข้าหมูจากสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อตลาดหมูในประเทศไทย อาจเสียหายกว่า 112,330 ล้านบาท
แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ธนาคารกสิกรไทยก็ต้องเป็นห่วงลูกค้าของธนาคารที่เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู จึงต้องส่งสัญญาณออกมาบ้าง
ประเทศไทยอาจไม่โดนเรื่องหมู แต่จะโดนเรื่องเนื้อวัว เพราะเราเปิดนำเข้าเนื้อวัวพรีเมียมจากออสเตรเลีย (ปีละ 2-3 หมื่นตัน) และนิวซีแลนด์อยู่แล้ว จึงต้องยอมเปิดนำเข้าเนื้อวัวพรีเมียมจากสหรัฐ ซึ่งไม่ได้กระทบต่อตลาดเนื้อวัวในไทยมากนัก แต่จะมีปัญหาเรื่องการใช้สารเร่งเนื้อแดงในวัว ซึ่งทางอย.สหรัฐให้ใช้ได้ แต่ในไทยไม่ให้ใช้สารเร่งเนื้อแดง
ส่วนเรื่องหมู สหรัฐคงไม่สนใจตลาดไทย เพราะได้กำไรน้อย ปัจจุบันปริมาณการเลี้ยงหมูและปริมาณการบริโภคของคนไทยนั้นใกล้เคียงกัน จึงไม่มีหมูส่งออก แต่สหรัฐสนใจส่งออกหมูไปจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และมาเลเซีย มากกว่า เพราะได้กำไรเยอะกว่าส่งมาไทย ตอนนี้เนื้อหมูในเวียดนาม-มาเลเซีย มีราคาแพงกว่าไทย เพราะเวียดนาม-มาเลเซีย เลี้ยงหมูได้ไม่พอกับการบริโภคในประเทศ
“คนวงในซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ บอกว่าไม่มีเรื่องหมูในข้อเสนอจากฝั่งไทยไปยังสหรัฐ ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ ก็ไม่อยากเคลื่อนไหวมาก เพราะรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทราบถึงผลกระทบกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการให้สื่อฯ นำเสนอข่าวไปกว้างขวางมากกว่านี้ เนื่องจากมีกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนหนึ่ง ต้องการให้เปิดนำเข้าหมู เพื่อทำให้ราคาเนื้อหมูในประเทศถูกลง ดังนั้นตอนนี้จึงต้องเงียบดีที่สุด เพื่อรอคำตอบจากสหรัฐ ว่าจะให้ภาษีนำเข้ากับไทยเท่าไหร่ ด้วยเงื่อนไขใดบ้าง” แหล่งข่าว ระบุ