UOB เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำ 3% ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี หลัง ‘ภาษีทรัมป์’ เขย่าการค้า กดดันส่งออก-การลงทุนทรุด
การกลับมาของนโยบายกีดกันทางการค้าของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ด้วยมาตรการ Reciprocal Tariff อัตรา 36% ไม่เพียงเขย่าภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกเท่านั้น
แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมทันทีสู่เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด และถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะ ‘ดีมานด์ช็อก’ ที่กำลังลามสู่ภาคธุรกิจ ภาคการผลิต และกำลังซื้อของผู้บริโภค
ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2025 สะท้อนความเชื่อมั่นภาคธุรกิจไทยที่ถดถอยลงต่อเนื่อง และความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทาย ธุรกิจไทยยังคงแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การขยายตลาดสู่ภูมิภาค การนำเทคโนโลยีมาใช้ และการเร่งมาตรการ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
[ สหรัฐฯ เล่นแรง ประกาศขึ้นภาษีไทย 36% ]
เช้าวันหนึ่งในเดือน ก.ค. 2568 ประเทศไทยได้รับเอกสารแจ้ง ‘ภาษีตอบโต้ทางการค้า’ จากสหรัฐฯ ด้วยอัตรา Reciprocal Tariff 36% ซึ่งกระทบสินค้าไทยหลากหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นอาหารแปรรูป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์การแพทย์
ผลกระทบแบ่งออกเป็น 3 ระลอก ได้แก่:
1. ภาคส่งออกโดยตรง ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทันที ความต้องการลดลง สต๊อกสินค้าค้างมากขึ้น และต้องลดรอบการผลิต หรือลดโอทีพนักงาน ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของคนในประเทศ
2. ผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทาน Suppliers ที่ผลิตชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบให้กับผู้ส่งออกก็ได้รับผลกระทบตามมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ที่ขาดความยืดหยุ่นทางการเงิน
3. การแข่งขันจากจีน เมื่อสหรัฐฯ กีดกันจีนและไทยพร้อมกัน สินค้าจีนจำนวนมากทะลักเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนในราคาถูกลง เพิ่มการแข่งขันในตลาดที่ 3 เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ภายในประเทศเอง
[ ความเชื่อมั่นถดถอย ธุรกิจต้องเอาตัวรอด ]
จากผลสำรวจของ UOB พบว่า
• ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจไทยลดลงเหลือเพียง 52% ในปี 2568 จาก 62% ในปี 2566
• กลุ่มที่กังวลมากที่สุดคือ SMEs
• อุปสรรคหลัก ได้แก่ เงินเฟ้อ ต้นทุนพุ่ง ความไม่แน่นอนด้านภาษี และอัตราแลกเปลี่ยน
แนวทาง ‘เอาตัวรอด’ ที่สำคัญในระยะสั้น ได้แก่
• วิเคราะห์ตลาดเดิมว่า ‘ราคาสินค้าของเรายังแข่งขันได้หรือไม่’
• ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตและซัพพลายเชน
• หาพันธมิตรใหม่ เช่น Distributor ท้องถิ่น เพื่อขยายช่องทางจำหน่ายในภูมิภาค
• ร่วมโครงการสนับสนุนจากธนาคาร เช่น knowledge sharing, cost advisory, export tools
[ ดิจิทัล & ESG ตัวช่วยใหม่ในภาวะวิกฤต ]
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการปรับตัวคือ ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’ และ ‘ESG’ โดยจากผลสำรวจ พบว่า
• 68% ของธุรกิจไทย วางแผนเร่ง Digital Transformation
• 60% ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้นภายหลังมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
• แต่มีเพียง 53% เท่านั้นที่ลงมือทำจริง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง
อุปสรรคยังคงอยู่ เช่น ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ต้นทุนเทคโนโลยี หรือพฤติกรรมลูกค้าที่ยังไม่พร้อมจ่ายแพงขึ้นสำหรับสินค้ายั่งยืน แต่ก็เป็นโอกาสหากธุรกิจสามารถแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในระยะยาว
[ โอกาสใหม่ ‘ภูมิภาคนิยม’ มาแทนโลกาภิวัตน์ ]
เมื่อโลกเริ่มถอยห่างจากโลกาภิวัตน์ ประเทศไทยและธุรกิจไทยสามารถหันไปหาโอกาสในระดับภูมิภาคที่มีแนวโน้มเติบโตเร็วขึ้น ข้อมูลสำคัญ พบว่า
• 90% ของธุรกิจไทย ตั้งเป้าขยายตลาดต่างประเทศ
• 60% ของแผนขยายตลาดเน้น อาเซียนเป็นหลัก
• ประเทศเป้าหมาย ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม รองลงมาคือจีนและญี่ปุ่น
• สิ่งที่ต้องการ: การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ข้อมูลเชิงลึก และพันธมิตรท้องถิ่น
[ กลยุทธ์การเอาตัวรอดสำหรับธุรกิจไทย ]
1. ทำความเข้าใจตลาดใหม่ในระดับภูมิภาค ผ่านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคและช่องทางการขายแบบดิจิทัล
2. ใช้โอกาสจาก Megatrends เช่น สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มนี้ต้องการสินค้าหรือบริการเฉพาะ เช่น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ อาหารทางการแพทย์
3. สร้างความแตกต่างผ่าน ESG การทำให้แบรนด์มีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจะเป็นแต้มต่อในตลาดใหม่
4. ลงทุนในคน ปัญหาหลักที่ยังมีอยู่คือแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะ ดังนั้นการอบรมและรักษาพนักงานกลุ่มนี้คือกุญแจสำคัญ
[ ไม่ใช่แค่อยู่รอด แต่ต้อง ‘ปรับให้ไว และรุกให้ทัน’ ]
‘ภาษีทรัมป์’ ไม่ใช่เพียงแค่มาตรการภาษี แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจโลกใหม่ ที่บีบบังคับให้ทุกประเทศและทุกธุรกิจต้องตื่นตัวและปรับตัว ไม่ใช่แค่ ‘เอาตัวรอด’ แต่ต้องเปลี่ยนเกมให้เป็น ‘โอกาส’
ธุรกิจไทยมีศักยภาพมากพอจะเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ผ่านการขยายตลาดในอาเซียน การใช้เทคโนโลยี และการเร่งความยั่งยืน เพื่อวางรากฐานสู่อนาคตอย่างมั่นคงยิ่งกว่าเดิม…