”ศิวรักษ์” ตำนานเหนือตำนาน อย่างแท้จริง
“แชมป์” ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ผู้รักษาประตูมากประสบการณ์วัย 41 ปีของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ปิดฉากเส้นทางเฝ้าเสาอันยิ่งใหญ่ตลอด 14 ปีที่ช้าง อารีนา หลังพาทีมกวาดแชมป์ในประเทศทุกรายการ
โดย โทรฟี่ ไทยลีก 10 ใบ, เอฟเอ คัพ 7 ใบ, ลีก คัพ 8 ใบ, พระราชทาน ก. 4 ใบ, ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 1 ใบ, แม่โขง คัพ อีก 2 ใบ และ อาเซียน คลับ แชมเปี้ยนส์ คัพ อีกหนึ่งใบ
สำหรับวันนี้เราจะมารู้จัก ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน มือกาวแห่งไทยลีก
ศิวรักษ์ ปัจจุบัน อายุ 41 ปี เป็นชาว จ.นครราชสีมา เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังอาชีพกับ ธนาคารกรุงเทพ, บีอีซี เทโรศาสน และ ทีโอที เอสซี ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือชื่อเดิม บุรีรัมย์ พีอีเอ และกลายเป็นส่วนสำคัญของทีมยาวนานถึง 15 ฤดูกาล
ศิวรักษ์ ชอบเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก และตำแหน่งที่เขาชอบเล่นมากที่สุดคือกองหน้า เขาเคยได้รางวัลดาวซัลโวสมัยอยู่ชั้นประถมด้วย แต่เมื่ออายุ 12 ปี คุณพ่อประสิทธิ์ เทศสูงเนิน ที่มีอาชีพเป็นครูและโค้ชฟุตบอล ได้จับเขาไปเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู และฝึกหนักเพื่อให้ได้ดีในตำแหน่งนี้
ศิวรักษ์ เคยเล่นในตำแหน่งอื่นมาก่อน ทำให้ใช้เท้าได้ดีกว่าผู้รักษาประตูทั่วไป และเข้าใจวิธีการยิงของกองหน้า ทำให้คาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้เงิน
เมื่อปี 2546 ศิวรักษ์ อายุ 19 ปี เขาได้รับการชักชวนจาก โค้ชวิสูตร วิชายา ให้ไปร่วมทีม ธนาคารกรุงเทพ ในตำแหน่งผู้รักษาประตูมือ 3 ต่อจาก สมเกียรติ ปัสสาจันทร์ และ วัชรพงษ์ กล้าหาญ ซึ่งได้รับเงินเดือนก้อนแรกในอาชีพคือ 6,000 บาทเท่านั้น
ศิวรักษ์ ยึดมือ 1 ของทีม ธนาคารกรุงเทพ ได้ในวัยเพียง 20 ปี และฟอร์มเข้าตา ซิกกี้ เฮลด์ กุนซือทีมชาติไทยในเวลานั้น ซึ่งได้เรียกเขามาติดทีมชาติไทย ชุดแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 35 และ ศิวรักษ์ ก็ได้ลงเล่นรับใช้ชาติเกมแรกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 ในเกมรอบรองชนะเลิศ พบ เอสโตเนีย ซึ่งทัพช้างศึกเอาชนะในช่วงดวลจุดโทษ 4-3
ศิวรักษ์ บอกว่าตัวเขามี จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารระดับตำนานของทีมชาติอิตาลีเป็นไอดอล เพราะชอบในความแข็งแกร่ง สุขุม และอ่านทางบอลได้ดี นอกจากนั้นยังชอบในเรื่องของการรักษาสภาพร่างกาย ที่สามารถยืนเฝ้าเสาได้อย่างมีคุณภาพแม้จะอายุเยอะแล้วก็ตาม
“แชมป์”ศิวรักษ์ เปิดใจ เล่าถึงความรู้สึกและความทรงจำตลอดเส้นทางการค้าแข้งที่สโมสร ตั้งแต่วันที่ทุกอย่างยังเป็นศูนย์ ยันวันแห่งความสำเร็จ “ผมเลือกมาที่นี่เพราะมั่นใจในตัวท่านประธาน คุณเนวิน ชิดชอบ ตอนแรกเราไม่มีอะไรเลย สนามซ้อมไม่มี รถสโมสรไม่มี ต้องนั่งรถกระบะไปซ้อม ท่านก็ลำบากกับเรา ไปซ้อมก็ไปนั่งเฝ้าทุกวัน”
เขายังเล่าถึงช่วงเวลายากลำบาก โดยเฉพาะในปี 2018 ที่ฟอร์มทีมย่ำแย่ ทำให้เขาเครียดและกดดันอย่างมาก
“ตอนนั้นเสียประตูเยอะเกือบทุกนัด ผมอึดอัดจนอยู่ไม่ไหว เลยแอบซ้อมเพิ่มเองตอนเช้า ตอนเที่ยง เอาโค้ชส่วนตัวมาช่วย จนฟอร์มกลับมาและสภาพจิตใจดีขึ้น”
สำหรับแมตช์ที่ประทับใจที่สุด เจ้าตัวยกให้เกมเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ที่เปิดบ้านชนะบริสเบน รอว์ ในการดวลจุดโทษ 3-0 ซึ่งเขาเซฟได้ทั้งหมด “ไม่รู้ว่าฟลุ๊กหรืออะไร แต่เป็นแมตช์ที่ผมประทับใจมาก”
“ขอบคุณพ่อแม่ คุณเนวิน คุณกรุณา เพื่อนร่วมทีมทุกคน และแฟนๆ ทุกท่าน ที่มาเชียร์มาตลอด ไม่ว่าผมจะไปไหนในบุรีรัมย์ เขาจะเดินมาทัก เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน”
เรื่องราวของพี่แชมป์กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้ หลังจากที่ประกาศแขวนถุงมือไปได้ไม่นาน ทางสโมสรก็ได้ประกาศข่าวดีอีกครั้ง โดยแต่งตั้ง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ให้เข้ารับตำแหน่งใหม่ถึง 2 ตำแหน่งเลย คือ ทูตสโมสร และ ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
เรียกได้ว่าเป็นการส่งไม้ต่อจากสนามไปสู่ห้องทำงานได้อย่างลงตัวสุดๆ แฟนบอลอย่างเราก็ต้องคอยเอาใจช่วยและจับตาดูบทบาทใหม่ของพี่แชมป์กันต่อไป ว่าจะประสบความสำเร็จและสร้างประโยชน์ให้กับสโมสรได้มากแค่ไหน เหมือนกับที่เคยเป็นผู้เล่นคนสำคัญมาโดยตลอด
แม้จะอำลาสนามไปแล้ว แต่แฟนบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังโล่งใจได้ เพราะ “แชมป์” จะยังคงส่งต่อประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพให้รุ่นน้อง รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้นักเตะเยาวชนในสโมสรต่อไป
นี่แหละชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง ที่เกิดมาเพื่อเป็นแชมป์ และปิดฉากในฐานะตำนานอย่างแท้จริง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน นายด่านผู้ยิ่งใหญ่ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และทีมชาติไทย “ตำนานเหนือตำนาน” อย่างแท้จริง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews