รื้อใหญ่”แผนฟื้นฟูรถไฟ”เบรกซื้อรถ -คลังติงกระทบเพดานหนี้สาธารณะ ดันใช้ PPP ดึงเอกชนลงทุน
รฟท.จ้างศึกษาทบทวน แผนฟื้นฟูปี 66-70 ใหม่ ชี้หลายปัจจัยเปลี่ยนจากเดิ เบรกแผนจัดหา”รถจักร-ล้อเลื่อน” หลังคลังติงลงทุนสูง หวั่นกระทบเพดานหนี้สาธารณะ ดันใช้ PPP ให้เอกชนร่วมลงทุน แผนปฎิบัติการปีงบ 69ตั้งเป้ารายได้รวม 1.14หมื่นล้าน
ความพยายามในการแก้ปัญหาหนี้สะสมของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีเกือบ 3 แสนล้านบาท โดยจัดทำแผนวิสาหกิจการรถไฟฯ (แผนฟื้นฟูการรถไฟฯ) ขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบัน เป็นแผนฟื้นฟูกิจการรถไฟ พ.ศ.2566-2570 (ฉบับปรับปรุง) ที่จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จัดหารถจักร ล้อเลื่อนใหม่ เพื่อศักยภาพในการบริหารการขนส่งโดยสาร และสินค้า รวมถึงด้านที่ดินและทรัพย์สิน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เป้าหมายเพื่อหลุดพ้นจากการขาดทุน อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.ได้จัดทำแผนวิสาหกิจการรถไฟฯ (แผนฟื้นฟู ) พ.ศ.2566-2570 โดยจะมีการทบทวนแผนย่อย หรือ แผนปฎิบัติการในแต่ละปี ให้สอดคล้องกับกับสถานการณ์ และเป็นไปตามเป็นข้อบังคับ สคร. เนื่องจาก รฟท.เป็นหน่วยงานที่ต้องฟื้นฟู ซึ่งล่าสุดได้นำความเห็นของทั้ง สคร.และกระทรวงการคลัง มาปรับปรุงแผนปฎิบัติการประจำปีงบประมาณ 2569 ใหม่ และเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. เห็นชอบเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้นำเสนอกระทรวงคมนาคมและส่งไปที่สคร. แล้ว
ขณะเดียวกัน ได้รายงานบอร์ดรฟท.รับทราบ เรื่องการทบทวน แผนวิสาหกิจการรถไฟฯ (แผนฟื้นฟู ) พ.ศ.2566-2570 ซึ่งเป็นแผนฟื้นฟูหลัก เนื่องจากพบว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การดำเนินงานยังไม่ตรงกับที่กำหนดในแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งมาจากหลายปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีพ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. …. เป็นการ Open Access ของรถไฟ ที่จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในการเช่าหรือร่วมทุนใช้รางในการเดินรถ รวมถึงร่วมทุนในการจัดหารถจักร รถโดยสาร ซึ่งรฟท.อยู่ระหว่างศึกษา PPP
นอกจากนี้ การจัดตั้งบริษัทลูกยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถจัดตั้งได้เพียงบริษัทเดียว คือ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ( SRTA) มีหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินและพื้นที่รถไฟ ส่วนบริษัทลูกเดินรถ บริษัทลูกซ่อมบำรุง ยังไม่มีความคืบหน้า รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยังไม่เกิด โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 การจัดหารถจักร ล้อเลื่อน ไม่เป็นตามที่แผนฟื้นฟูฯกำหนด ทำให้กระทบต่อการหารายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นจึงต้องทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ทั้งหมด
“หากยังคงเดินไปตามแผนฟื้นฟูอีก 2 ปี คงจะหลุดเป้าหมายแน่นอน นอกจากนี้ แผนฟื้นฟูใหม่ จะมุ่งการสร้างรายได้ และเน้นเรื่องรถท่องเที่ยว เพราะมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้น ปัจจุบัน รฟท.กำลังศึกษาแนวทาง PPP ที่จะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานพอสมควร ทั้งในเรื่องการเดินรถ การจัดหารถจักร ล้อเลื่อน จากเดิม ซื้อหรือเช่า”
@รื้อแผนจัดหา”รถจักร-ล้อเลื่อน”ศึกษา PPP ให้เอกชนร่วมลงทุน
นายวีริศ กล่าวว่า รถไฟเป็นองค์กรใหญ่ การลงทุนต่างๆ มีผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ กระทรวงการคลังจึงมองว่า หากลงทุนแล้วจะเกิดผลตามแผนหรือไม่ รวมถึง ไม่ต้องการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของประเทศด้วย ดังนั้นหากรฟท.กู้ไปซื้อรถ แต่บริหารจัดการไม่ได้ตามแผน จะไม่เกิดประโยชน์ ขณะที่ การร่วมลงทุนเอกชน หรือ PPP ทางเอกชน จะสามารถบริหารจัดการ ควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า
ส่วน กระทรวงคมนาคม มีความเห็นว่า ที่ผ่านมา เมื่อนำเสนอโครงการฯของรฟท. หน่วยงานกลาง ทั้งสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง จะมีคำถามเกี่ยวกับการดำเนินงานของรฟท. ปัญหาหนี้ ผลงานตามแผนฟื้นฟู ว่าทำได้จริงหรือไม่
ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ ล่าสุด ทางกระทรวงคมนาคม จึงส่งเรื่องการจัดหารถจักร ล้อเลื่อน 3 โครงการได้แก่ โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวม 10,502.10 ล้านบาท, โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวม 24,150.00 ล้านบาท และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงิน 23,730 ล้านบาท กลับมาที่รฟท. ทบทวนรูปแบบการลงทุน
โดย รฟท.จะทำการ ศึกษารูปแบบการร่วมทุนเอกชน ( PPP) เปรียบเทียบกับการที่รฟท.ดำเนินการจัดซื้อและเดินรถเอง กรณีเป็น PPP จะเป็นการรวมหรือ แยกแต่ละโครงการ รวมถึงทบทวนจำนวนด้วย เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด สุดท้ายหากสรุป เป็น PPP คาดว่า ใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีครึ่ง ซึ่งระหว่างนี้ รฟท.ให้ความสำคัญกับการซ่อมบำรุง รถจักร รถโดยสาร ที่มีอยู่ให้ดีที่สุด
“ส่วนการจัดหาแคร่สินค้า 946 คัน ที่ครม.อนุมัติไปเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2568 เป็นไปตามความเหมาะสมเพราะแคร่สินค้าเป็นเครื่องมือที่ทำรายได้ให้รฟท.ดีและรวดเร็ว ผลการศึกษาพบมีความคุ้มค่าสูงถึง 18% “
@จ้างนิด้าฯทบทวน”แผนฟื้นฟู พ.ศ.2566-2570 “ จบใน 8 เดือน
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทบทวนและจัดทำแผนวิสาหกิจการรถไฟฯพ.ศ. 2566-2570 (แผนฟื้นฟู) โดยจ้างที่ศูนย์บริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA เป็นที่ปรึกษา วงเงิน 12.7 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 240 วัน ( 8 เดือน ) ซึ่งได้ลงนามว่าจ้างไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 สิ้นสุดสัญญา 19 ก.พ. 2569
โดยเมื่อวันที่ 21 - 22 ก.ค. 2568 ได้ดำเนินการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็น ในส่วนของผู้บริหารระดับ 12 ขึ้นไป /ผู้บริหารระดับกลาง และจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นของพนักงานทุกฝ่าย/สำนักงาน (Focus group) ในช่วงต้นเดือนส.ค. 2568 เพื่อประมวลผลก่อนนำไปประกอบการทบทวนและจัดทำแผนฯ ของการรถไฟฯ ต่อไป ซึ่งจะรวบรวมและประมวลผลจากการระดมความคิดเห็นดังกล่าวครบถ้วนภายในเดือนสิงหาคมนี้
@เปิดหนังสือ”คมนาคม”ตีกลับ “คลัง”ห่วงเพดานหนี้สาธารณะพุ่ง
รายงานแจ้งว่า จากที่กระทรวงคมนาคมได้มีการประชุม เพื่อให้ความเห็นชอบการดำเนินโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน 182 คัน โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน 184 คัน และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน เพื่อประกอบการพิจารณาของครม. นั้น พบว่า ตามแผนฟื้นฟู รฟท.มีโครงการจัดหารถจักรและล้อเลื่อน รวม 9 โครงการ วงเงินรวม 172,327.10 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 โครงการข้างต้นมีวงเงินรวม 58,382.10 ล้านบาท โดยเป็นการจัดซื้อพร้อมอะไหล่ โดยการกู้เงิน ซึ่งรฟท.รับภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้
ที่ประชุมจึงเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการมีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ ประกอบกับความเห็นของกระทรวงการคลัง เห็นว่า กระทรวงคมนาคม มีโครงการลงทุน ในช่วงเวลาเดียวกันอีกหลายโครงการ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 สายทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) ที่จะใช้ดำเนินโครงการอื่นๆ มีข้อจำกัด และอาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเข้าใกล้กรอบร้อยละ 70 ดังนั้น รฟท.จึงควรพิจารณาโครงการที่มีความเหมาะสม คุ้มค่า จัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับรฟท.และลดภาระการกู้เงินของรฟท. รวมทั้งการค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลัง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และการลดภาระงบประมาณ รวมถึงปฎิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
จึงมีมติให้รฟท.นำเรื่องทั้ง 3 โครงการกลับไปพิจารณาในเรื่องแผนการลงทุน โดยเพิ่มบทบาทของเอกชนหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพในการจัดหาและซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมคุ้มค่าจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการเพื่อลดภาระการกู้เงินของรฟท.และการค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังหรือมอบหมายให้รฟท.หารือกับกรมขนส่งทางราง เพื่อพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
@รถไฟอันดับ 1 ตัวเลขหนี้กว่า 2.6 แสนล้านบาท
ซึ่งจากตัวเลขหนี้รัฐวิสาหกิจ ที่รัฐบาลค้ำประกัน พบว่า การรถไฟฯ มีหนี้ ในประเทศสูงสุด วงเงินถึง 260,696.45 ล้านบาท ขณะที่องค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) มียอดหนี้ ที่ 145,455.53 ล้านบาท ซึ่งทั้งรฟท.และขสมก. เป็นรัฐวิสหากิจที่ให้บริการเชิงสังคม ที่มีต้นทุนสูงแต่เก็บค่าโดยสารได้ต่ำ และรัฐต้องเข้ามาอุดหนุน แต่ที่ผ่านมา การอุดหนุนไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง ทำให้เกิดปัญหาหนี้สะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
@“สุริยะ”ให้รฟท.ตรวจสอบข้อมูลใหม่ ก่อนส่ง”สภาพัฒน์ฯ”
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากที่รฟท.ได้เสนอเรื่องยังมีโครงการจัดหารถจักรล้อเลื่อนอีก 3 โครงการ มาที่กระทรวงคมนาคมแล้ว และตามขั้นตอน กระทรวงฯ จะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็น เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังก่อน จากนั้นจึงจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเรื่องนี้ตนได้หารือกับ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าเมื่อมีการเสนอโครงการของกระทรวงคมนาคมไปสภาพัฒน์ฯ มักจะไม่ผ่าน โดยจะถูกตั้งข้อสังเกต เช่น เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ขณะที่ทั้ง 3 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาต่างกันด้วย
ดังนั้นตนจึงให้นำเรื่องส่งไปให้ทาง รฟท.พิจารณาตรวจสอบข้อมูลว่าจะต้องมีการเพิ่มเติมปรับปรุงอะไรอีกหรือไม่ ทำให้รอบคอบก่อนดีกว่า หากครบถ้วนแล้ว ค่อยเสนอสภาพัฒน์ โดให้นำประเด็นต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้ สภาพัฒน์ฯ กระทรวงคลัง เคยตั้งข้อสังเกต มาดูประกอบให้รอบคอบ และจะเชิญผู้แทนสภาพัฒน์ฯ เข้ามาร่วมตั้งแต่แรก เหมือนโครงการรถไฟทางคู่ระยะ 2 ที่สภาพัฒน์สอบถามข้อมูล ขอเอกสารเพิ่มเติม ต้องใช้เวลาชี้แจง 8-10 เดือน
นายสุริยะกล่าวว่า จะกำชับนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. ให้เร่งดำเนินการ และสรุปเสนอสภาพัฒน์ฯ และเสนอ ครม.ใน 3-4 เดือนจากนี้ เพราะการจัดหารถจักร และรถโดยสารหลัง ครม.อนุมัติแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการประมูลและจัดหาอีก 2 ปี เพื่อให้ทันกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะแรกที่จะแล้วเสร็จ
@กางแผนปฎิบัติการ ประจำปีงบประมาณ 2569
สำหรับแผน ปฎิบัติการ ประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งบอร์ดรฟท.เห็นชอบไปเมื่อวนที่ 30 ก.ค. 2568 รฟท. ได้ปรับปรุงตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และสคร. ตั้งเป้าหมาย จำนวนผู้โดยสาร 32 ล้านคน ,ปริมาณการขนส่งสินค้า 14 ล้านตัน ,รายได้การโดยสาร 4,000 ล้านบาท ,รายได้การสินค้า 2,450 ล้านบาท ,รายได้การบริหารทรัพย์สิน 5,000 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายบุคลากรลดลง 10%
โดยมีการขับเคลื่อน 77 โครงการ แบ่งเป็น Quick Win 28 โครงการ และ In Process 49 โครงการ
ซึ่งโครงการ Quick Win 28 โครงการ เป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน 8 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย 2. โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 3. โครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม 4. โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 5. โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา 6. โครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา 7. โครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย 8. โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม
การจัดหาและซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน 9 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการจัดหารถดีเซลรางจำนวน 216 คัน พร้อมอะไหล่
2.โครงการปรับปรุง/ดัดแปลง รถปรับอากาศ KIHA 40 และ KIHA 48
3. โครงการจัดหารถจักรสับเปลี่ยน (ภายในย่านสายสีแดง) พร้อมอะไหล่ จำนวน 17 คัน วงเงินงบประมาณ 2,845ล้านบาท.
4.โครงการซ่อมปรับปรุงรถจักรดีเซลไฟฟ้า GEA จำนวน 36 คันวงเงินงบประมาณ 1,692 ล้านบาท
5.โครงการซ่อมปรับปรุงรถจักรดีเซลไฟฟ้า HID จำนวน 21 คัน วงเงินงบประมาณ 777 ล้านบาท
6.โครงการซ่อมปรับปรุงรถดีเซลราง KIHA 183 จำนวน 17 คัน วงเงินงบประมาณ 272 ล้านบาท
7.โครงการปรับปรุงรถโดยสารเพื่อใช้งานกับรถ Power Car จำนวน 23 คัน และ 33 คัน
8.งานว่าจ้างดัดแปลงรนถ บทด.เป็ฯรถ บทต.จำนวน 70 คัน
9.โครงการปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 บชส. เป็นรถชั้น 3 ปรับอากาศ บชส. จำนวน 40 คัน
นอกจากนี้ ยังมี โครงการด้านธุรกิจ ได้แก่ 1. การปรับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าในเส้นทาง ICD ลาดกระบัง-แหลมฉบัง 2.โครงการเพิ่มรายได้การท่องเที่ยว 3. โครงการให้เอกชนร่วมลงทุนศูนย์เปลี่ยนถ่านสินค้าและย่านยกองเก็บตู้สินค้าเพื่อรองรับการขนส่งทางราง จ.หนองคาย 4. โครงการปรับอัตราค่าโดยสารให้สะท้อนต้นทุนและเป็นธรรม
5.พัฒนาธุรกิจการให้เช่าใช้ทาง (time slot) ในการเดินรถขนส่งและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็น Platform provider
6. โครงการจัดประโยชน์ป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ 7. โครงการจัดประโยชน์ป้ายโฆษณา บริเวณสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี 8. โครงการจัดประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ บริเวณสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี 9. โครงการปรับโครงสร้างองค์กรและอัตรากำลังเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจตามแผนวิสาหกิจ พ.ศ.2566-2570
10.โครงการดัดแปลงรถโบกี้ไฟฟ้ากำลัง จำนวน 12 คัน
ปัญหาขาดทุนของรถไฟ มาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการบริการไม่พัฒนา การปรับตัวไม่ทันกับสังคมเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนไป รถมีสภาพเก่า ชำรุดทรุดโทรม แม้จะมีแผนจัดหารถจักร รถโดยสาร และการซ่อมบำรุง แต่โครงการมีความล่าช้าไม่ทันสถานการณ์ การปรับปรุงแผนฟื้นฟูฯใหม่ รื้อแผนซื้อรถจักร รถโดยสาร ดึงเอกชนร่วมทุน PPP ลดภาระหนี้ภาครัฐ อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่หวังว่าจะแก้ปัญหา ลดขาดทุนและทำให้รถไฟมีกำไรขึ้นมาได้ในอนาคต!!!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO