‘ประเสริฐ’ เคาะ 5 มาตรการปราบเฟคนิวส์ กำหนดตรวจสอบข่าวปลอมให้ได้ใน 3 ชม.
‘ประเสริฐ’ ประชุมสั่งการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ เคาะ 5 มาตรการปราบเฟคนิวส์ กำหนดเวลาตรวจสอบข่าวปลอมให้ได้ข้อเท็จจริงใน 3 ชม.
วันนี้ (7 ส.ค. 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ดีอี) ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งรัฐบาลแต่งตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติขึ้น โดยกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่มีการเผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสม บิดเบือนจากข้อเท็จจริง ก่อเกิดการปลุกระดม ยั่วยุ สร้างความรุนแรง
ที่ประชุมได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อขอความร่วมมือปราบปรามข่าวปลอม และบัญชีผู้ใช้งานต้องสงสัย โดยกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาร่วม 5 มาตรการดังนี้
1. การจัดลำดับความสำคัญกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงชายแดนให้เป็นอันดับความสำคัญสูงสุด ในการสนับสนุนการจัดการข่าวปลอม
2.การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตรวจจับข่าวปลอมที่ยืนยันแล้วและดำเนินการปิดกั้นข่าวปลอมในทุกช่องทางแพลตฟอร์ม
3.เพิ่มเจ้าหน้าที่สนับสนุนรองรับการดำเนินการตามมาตรการการจัดการข่าวปลอม และแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์จะมีการพัฒนา AI ตรวจจับบัญชีผู้ใช้งานที่ระบุว่าเป็นบัญชีผู้ใช้ที่เป็นบุคคลสาธารณะปลอม
4.ดำเนินการด้านปฏิบัติการข่าวสาร (IO) บริหารจัดการข่าวในด้านจิตวิทยา หากตรวจพบจะส่งให้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เพื่อแจ้งแพลตฟอร์มดำเนินการระงับเผยแพร่
5.ยกระดับการยืนยันตัวตนของแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยผู้ที่จะลงโฆษณาต้องเป็นบริษัทฯ ซึ่งมีการยืนยันตัวตน ที่ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว และจะยกระดับการดำเนินการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ที่ประชุมยังเห็นชอบให้กระทรวงดีอีเป็นศูนย์กลางรับเรื่องข่าวปลอม นำส่งกรมประชาสัมพันธ์ ประสานงานหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน 3 ชั่วโมง หลังตรวจสอบแล้วกรมประชาสัมพันธ์จะกระจายข้อมูล ประสานงานสื่อมวลชน และกระทรวงดีอี เพื่อแจ้งแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ปิดกั้นต่อไป
ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ที่กระจายข่าวปลอม ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือรายละเอียดกระบวนการร้องทุกข์กล่าวโทษ ป้องกันและปราบปรามข่าวปลอม สำหรับการดำเนินการปิด IP Address มอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ให้บริการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำ IO และดำเนินการตามมาตรการที่เหมาะสม