ลูกอยากเป็นอินฟลูฯ : ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่กระทบความปลอดภัยและชีวิตส่วนตัว
ยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ไม่ได้เป็นเพียงนิยามหรือชื่อเรียกกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง แต่กลายเป็นหนึ่งในอาชีพในฝันของเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กเจนฯ อัลฟ่า ที่เกิดมาพร้อมความเจริญทางเทคโนโลยี การเข้าถึงเนื้อหาในอินเทอร์เน็ต และความสำเร็จที่วัดได้จากตัวเลขในหน้าสังคมออนไลน์ต่างๆ ภาพของอินฟลูเอนเซอร์ที่เด็กๆ มองเห็นและเข้าใจก็คือ อาชีพที่สนุกสนาน ได้ทำอะไรสนุกนาน ไปกิน ไปเที่ยว ไปช้อปปิ้ง มีสินค้าใหม่ๆ ให้ทดลองใช้ไม่ขาด และยังสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จึงไม่น่าแปลกใจ หากคุณพ่อคุณแม่จะพบว่า ลูกอยากเป็นอินฟลูฯ และคิดว่าตัวเองสามารถทำได้โดยไม่ต้องให้โตเป็นผู้ใหญ่เหมือนอาชีพอื่นๆถึงแม้การเป็นอินฟลูฯ จะเป็นงานที่ดีและน่าสนใจ แต่ความฝันนี้ของลูกก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวล ทั้งในแง่ความมั่นคงในอนาคตข้างหน้า และความเสี่ยงที่ใกล้ตัวเข้ามา เช่น ความปลอดภัยและผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของลูกในวัยที่ยังไม่พร้อมจะดูแลปกป้องตัวเองได้เต็มที่ เพราะการเป็นอินฟลูฯ หมายถึงการทำงานที่ต้องเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะ สร้างภาพลักษณ์เพื่อดึงดูดผู้ติดตาม เสี่ยงต่อการถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว และการเผชิญกับ Cyberbullying ที่อาจทำให้เกิดความเครียดและกดดันทางจิตใจโดยไม่รู้ตัวได้นี่จึงเป็นอีกความท้าทายของการเลี้ยงลูกในยุคที่อินฟลูเอนเซอร์กลายเป็นอาชีพในฝันของเด็กๆ หาก ลูกอยากเป็นอินฟลูฯ พ่อแม่อย่างเราจะส่งเสริมลูกไปพร้อมกับการปกป้องลูกจากอันตรายในอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร ลองมาเรียนรู้ไปพร้อมกันนะคะ1. พูดคุยทำความเข้าใจ
เมื่อลูกออกปากหรือแสดงออกว่าชอบและอยากลองเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วยตัวเอง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำไม่ใช่การปิดกั้นหรือปล่อยให้ลูกพยายามด้วยตัวเองโดยไร้การสนับสนุน แต่คือเปิดใจและพูดคุยอย่างจริงจังว่าลูกเข้าใจการทำงานนี้มากน้อยแต่ไหน รู้หรือไม่ว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยไม่ตัดสินหรือขัดขวางความตั้งใจของลูกจากนั้นจึงค่อยๆ อธิบายถึงความเสี่ยงที่จะตามมา เช่น หากไม่เป็นที่รู้จักหรือทำไม่สำเร็จลูกจะเสียใจหรือเปล่า และหากสำเร็จลูกอาจจะสูญเสียความเป็นส่วนตัว และถูกวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะได้การพูดคุยด้วยเหตุผลจะช่วยให้ลูกเข้าใจว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม เพื่อให้ลูกเตรียมความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์จริงที่ต้องเจอได้2. ตั้งกฎและขอบเขตที่ชัดเจนร่วมกัน
คุณพ่อคุณแม่ควรตั้งกฎร่วมกับลูกตั้งแต่เริ่มต้น เช่น เวลาที่เหมาะสมในการทำคอนเทนต์หรือใช้งานโซเชียลมีเดีย ข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ควรเปิดเผย (เช่น ที่อยู่บ้าน โรงเรียน และพิกัดที่อยู่แบบเรียลไทม์) รวมถึงขอบเขตการทำคอนเทนต์ที่เหมาะสม และกรอบความใกล้ชิดกับผู้ติดตามในโลกออนไลน์การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกมีวินัยในการใช้โซเชียลฯ รู้จักปกป้องความเป็นส่วนตัวของตัวเอง และช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลการทำงานของลูกได้อย่างทั่วถึง3. ตรวจสอบเนื้อหาและแพลตฟอร์มอย่างใกล้ชิด
คุณพ่อคุณแม่ควรทำความรู้จักแพลตฟอร์มที่ลูกสนใจ และตรวจสอบเนื้อหาที่ลูกจะเผยแพร่ก่อนเสมอ ไม่ใช่เพื่อควบคุม แต่เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหาที่ลูกทำมีความเหมาะสม ไม่สุ่มเสี่ยง ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ในช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่อาจคอยสังเกตการณ์เพื่อที่จะช่วยเตือนหรือให้คำแนะนำลูกได้ทันท่วงที4. สอนเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์และมารยาทออนไลน์
สอนให้ลูกรู้จักวิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัว การสร้างรหัสผ่านที่รัดกุม การไม่คลิกลิงก์น่าสงสัย การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนแพลตฟอร์มต่างๆ ให้เหมาะสมกับวัยของลูก รวมถึงสอนมารยาทการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดี (Digital Etiquette) รู้จักเคารพผู้อื่น แสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และวิธีการรับมือกับคำวิจารณ์เชิงลบด้วย5. เป็นกำลังใจและพื้นที่ปลอดภัยให้ลูก
สุดท้าย ไม่ว่าลูกจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการเป็นกำลังใจและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกเสมอ เมื่อลูกประสบความสำเร็จ ควรชื่นชมและให้กำลังใจ เมื่อลูกเจอความผิดหวัง โจทย์ที่ท้าทาย คำวิจารณ์เชิงลบ หรือปัญหาใดๆ ในอินเทอร์เน็ต คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นคนแรกที่ลูกอยากเข้ามาปรึกษาและขอความช่วยเหลือก่อนเสมออ่านบทความ: ลูกอยากเป็นคนสำคัญ : 4 วิธีรับมือและปลอบโยนเมื่อลูกไม่ได้เป็นคนสำคัญของห้องเรียนอ้างอิงDigitalvoicesMamamiaIntegrity