‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ บุก ‘อำเภอ-สถานีตำรวจ’ ร้องทุกข์ทุนเหมืองโปแตชครอบครองวัตถุระเบิดเกินกำหนด
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ที่ว่าการอำเภอด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด พร้อมนายกริษณุภูมิ นิลนามะ ทนายความสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อนายอำเภอด่านขุนทด เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการเอาผิดต่อบริษัทเอกชนเหมืองแร่โปแตช ในกรณีการมีวัตถุระเบิดโดยไม่มีใบอนุญาตหลังพบความผิดปกติหลายอย่างในการขออนุญาตใช้ระเบิดและการครอบครองวัตถุอันตรายเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ทั้งที่รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ปี 2556 ระบุชัดเจนว่าโครงการทำเหมืองใต้ดินไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุระเบิด
โดยพบว่าบริษัทได้รับใบอนุญาต ซื้อ มี และใช้วัตถุระเบิด (แบบ ป.5) ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2559 และใบอนุญาตสิ้นสุดในวันที่ 27 มี.ค. 2560 แต่กลับมีการครอบครองวัตถุระเบิดไว้นานกว่า 2 ปี จนถึงวันที่ 26 มี.ค. 2562 ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดทำลายวัตถุระเบิด (EOD) ได้เข้าดำเนินการทำลาย การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 37, 38 และ 41 ซึ่งมีโทษปรับและจำคุก นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทฯ มีการครอบครองยุทธภัณฑ์โดยไม่มีใบอนุญาตนานกว่า 10 เดือน หลังใบอนุญาตมีซึ่งยุทธภัณฑ์ (แบบ ย.ภ.5) สิ้นสุดลงในวันที่ 23 พ.ค.
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดจึงขอให้อำเภอด่านขุนทดฐานะนายทะเบียนท้องที่ ดำเนินการเอาผิดกับบริษัทเอกชนดังกล่าว ตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด ทั้งในเรื่องการให้ข้อมูลเท็จและการครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้านนางเดือนรุ่ง มูลขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กล่าวว่า วันนี้อยากให้นายอำเภอด่านขุนทดชี้แจงว่า ได้มีการเข้าตรวจสอบบริษัทเหมืองหรือไม่ หลังจากที่มีการร้องเรียนไปก่อนหน้านี้ พร้อมแสดงความกังวลต่อเสียงคล้ายวัตถุระเบิดที่ยังเกิดขึ้นในพื้นที่ ทั้งที่ในปีนี้บริษัทไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้วัตถุระเบิดแต่อย่างใดสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือความชัดเจน โปร่งใส และการดำเนินการตามกฎหมายจากหน่วยงานต้นทาง เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและปกป้องสิทธิของคนในพื้นที่ต่อไป
ส่วน น.ส.สุธีรา เปงอิน จากองค์กรโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (PI) กล่าวว่า ในการใช้สิทธิทางกระบวนการยุติธรรมครั้งนี้เพื่อให้ตรวจสอบความไม่ชอบธรรมและดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับบริษัทเอกชน ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดในครั้งนี้ มิใช่เพียงการหยุดยั้งการทำเหมืองแร่โปแตชเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อปกป้องสิทธิพลเมือง สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วม และการเข้าถึงความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต้องปกป้อง คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน การใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมเพื่อตรวจสอบการดำเนินการของโครงการเหมืองแร่โปแตชที่มิชอบด้วยกฎหมายอย่างรวดเร็วและทันที
“ที่สำคัญรัฐต้องมีมาตรการป้องกันมิให้บริษัทเอกชนใช้การฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์ (SLAPP) มาเป็นเครื่องมือในการข่มขู่และทำให้หวาดกลัวต่อการใช้สิทธิในการปกป้องของตนเองเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองภายใต้หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนที่จะต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง และเยียวยา และสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ CEDAW ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับการเข้าถึงความยุติธรรมและการเยียวยาสำหรับผู้หญิง” น.ส.สุธีรากล่าว
ต่อมากลุ่มฯ ได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรด่านขุนทดเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.ด่านขุนทด เพื่อให้พนักงานสอบสวนซึ่งมีอำนาจในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง กรณีบริษัทเหมืองแร่โปแตชครอบครองหรือมีวัตถุระเบิดเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยนายกริษณภูมิ กล่าวว่า วันนี้ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายทะเบียนท้องที่อำเภอด่านขุนทด และได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ด่านขุนทด เพื่อกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับบริษัทเหมืองแร่ กรณีครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหน้าที่จะมีความจริงใจในการทำคดีนี้ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยของประชาชน และขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันติดตามผลการดำเนินคดี เพื่อปกป้องสิทธิและทรัพยากรธรรมชาติของพวกเรา.