ช้ำหนัก แม่หม้ายสาวสวย ลวงเหยื่อเกลี้ยง 6 ล้าน รู้ตัวจริงใจสลาย
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมร่วมกันจับกุม นายสุพจน์ บัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเป็นม่ายสาว ลวงลงทุนทอง เหยื่อสูญเงิน 6 ล้านบาท พบหมายจับพ่วงอีก 2 คดี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรี ที่ 561/2567 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ในข้อหาว่า
"ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนเองหรือกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดอาญาอื่นใด และเป็นผู้สนับสนุนร่วมกันฉ้อโกง แสดงตนเป็นคนอื่นโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลบิดเบือนหรือปลอม ทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น"
สถานที่จับกุมอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านในพื้นที่ ซ.พหลโยธิน 73 แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์ ก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงหน้าตาดี โปรไฟล์ดี ส่งคำขอเป็นเพื่อนกับผู้เสียหายในแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก หลังผู้เสียหายรับคำขอเป็นเพื่อน ผู้ต้องหาได้เล่าเรื่องส่วนตัวว่าเป็นม่าย และหลังสามีเสียชีวิตยังไม่มีคู่ใหม่ จากนั้นผู้ต้องหาได้ชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนทองคำ พร้อมกล่าวถึงผลตอบแทนและข้อดีของการลงทุน ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ
ผู้เสียหายเริ่มลงทุนครั้งแรก 50,000 บาท ได้ผลกำไรประมาณ 10% หรือ 5,000 บาท เมื่อเห็นว่าการลงทุนได้ผลจริง จึงลงทุนเพิ่มอีก 3,000,000 บาท ในระหว่างสนทนา ผู้ต้องหาอ้างว่ามีน้าทำงานในวัง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และแจ้งว่าหากผู้เสียหายอยากเป็นนักลงทุนระดับ VIP ต้องลงทุนเพิ่มอีก 3,000,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินเพิ่ม ผลปรากฏว่าไม่สามารถถอนเงินลงทุนออกได้ ผู้เสียหายจึงมาพบพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน เพื่อดำเนินคดี
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่าผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีของ นายสุพจน์ จึงขอศาลออกหมายจับ ต่อมาพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. สืบทราบว่าผู้ต้องหาอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านในพื้นที่ แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร จึงนำกำลังเข้าจับกุม
ผู้ต้องหามีหมายจับในคดีลักษณะเดียวกันอีก 2 คดี ได้แก่
ศาลจังหวัดจันทบุรี ที่ 231/2567 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ข้อหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลบิดเบือนหรือปลอม ทั้งหมดหรือบางส่วน หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือฝึกงานต่างประเทศ และได้ทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง”
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ จ330/2568 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ข้อหาว่า “สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลบิดเบือนหรือปลอม ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนเองหรือกิจการที่เกี่ยวข้อง”
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่า ไม่เคยขายบัญชีธนาคารให้ใคร แต่ทำสมุดบัญชีและบัตรประชาชนหาย