โอนเกิน 50,000 ไม่ได้แล้ว? ธปท. ออกกฎใหม่กันมิจฉาชีพ แบ่งกลุ่มลูกค้าตามความเสี่ยง SML
แม้ว่าจะมีการประชาสัมพันธ์และรณรงค์เตือนภัยอย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายจากการถูกหลอกลวงให้โอนเงิน หรือที่เรียกว่า ‘Authorized Payment Fraud’ ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง
โดยล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า มีผู้เสียหายกว่า 24,500 ราย สูญเงินรวม 2,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยกว่า 114,000 บาทต่อราย และที่น่าตกใจคือ มีบางกรณีที่มูลค่าการโอนสูงสุดถึง 4.9 ล้านบาทต่อครั้ง
รูปแบบความเสียหายที่มีมูลค่าสูงสุด 4 อันดับ ได้แก่
1.การหลอกให้ลงทุน มูลค่าความเสียหาย 933 ล้านบาท
2.หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล มูลค่าความเสียหาย 702 ล้านบาท
3.หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้เสริม มูลค่าความเสียหาย 498 ล้านบาท
4.ข่มขู่ทางโทรศัพท์ แล้วหลอกให้โอนเงิน มูลค่าความเสียหาย 345 ล้านบาท
โดยจุดสำคัญที่เป็นช่องโหว่ของปัญหานี้คือมูลค่าของการโอนในแต่ละครั้ง ที่บางครั้งสามารถโอนได้ 5 ล้านต่อครั้ง ซึ่งจะพบว่ามีการไปโอนเงินที่สาขามากขึ้นเพราะสามารถโอนให้ในจำนวนที่มากกว่าผ่านออนไลน์
ข้อมูลยังพบว่า ธุรกรรมที่ที่โอนต่อเนื่องเมื่อหลอกเหยื่อติดกับแล้ว มีมูลค่าการโอนสูงกว่า 50,000 บาท ประมาณ 22% ของจำนวนธุรกรรม 3 ใน 4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาที่น่ากังวล
[ ออกมาตรการสะกัดดาวมิจฉาชีพ ]
‘ดารณี แซ่จู’ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออก มาตรฐานและมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบันการเงิน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 8 สิงหาคม 2568 โดยยึด 5 หลักการสำคัญ คือ แก้ปัญหาได้ตรงจุด, วิธีปฏิบัติชัดเจน, สอดคล้องกับบริบทไทย, ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานสากล และสร้างความตื่นตัวแก่ประชาชน
[ จำกัดห้ามโอนเกิน 50,000 บาทต่อวัน ]
ธปท. ร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย ในการยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของ ลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling)
เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูก หลอกลวงจากมิจฉาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นางอรมนต์ จันทพันธ์ผู้อำนวยการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลัก คือ
1.จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้ง ละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่ม โอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน
2.จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของ มิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีต ของลูกค้าโดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
[ มีการจำกัดวงเงินตามกลุ่ม แล้วเราอยู่กลุ่มไหน? ]
อย่างไรก็ตาม ตามที่ ธปท.ระบุไว้ว่าธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงจากพฤติกรรมในอดีตของเรา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะถูกจำกัดวงเงินที่ 50,000 บาทต่อวันเหมือนกันทุกคน ดังนั้น ถ้าดูจากพฤติกรรมที่แตกต่างกัน แล้วเราอยู่ตรงไหน?
โดยธนาคารจะมีการแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม เป็น S M และ L ดังนี้
* กลุ่ม L เป็นกลุ่มที่สามารถโอนเงินได้มากกว่า 200,000 บาทต่อวัน
* กลุ่ม M เป็นกลุ่มที่สามารถโอนเงินได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน
* กลุ่ม S เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดสามารถโอนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
ซึ่งในรายละเอียดของลูกค้าจะได้รับวงเงินเป็น M หรือ L จะเป็นกลุ่มที่สถาบันการเงินจะต้องมีข้อมูลรู้จักลูกค้าอย่างดี แต่ก็จะมีการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เงินเดือนและสินทรัพย์ เป็นต้น
ส่วนกลุ่มที่ได้ S จะเป็นกลุ่มที่ 1.มีความเสี่ยงจะโดนมิจฉาชีพหลอกมากที่สุด 2. ลูกค้าใหม่ธนาคารยังไม่รู้จักดีพอ 3.ลูกค้าปัจจุบันแต่ดูตามข้อมูลพฤติกรรม 4.ลูกค้ากลุ่มเปราะบางต้องดูแลเป็นพิเศษ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามลูกค้าที่เป็น S แค่อยากปรับวงเงินให้เพิ่มขึ้นสามารถแจ้งความจำนงกับสถาบันการเงินที่ใช้บริการได้