ใช้เงินแก้ปัญหา? จีนแจกเงินช่วยค่าเลี้ยงลูก 3,600 หยวนต่อคน นาน 3 ปี หวังเพิ่มประชากร
ทางการจีนประกาศนโยบายกระตุ้นการเกิดครั้งใหญ่ ด้วยการแจกเงิน 3,600 หยวน ช่วยค่าเลี้ยงดูเด็ก หวังสู้วิกฤตประชากร
รัฐบาลจีนเดินหน้าเต็มสูบ หวังแก้วิกฤตประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันนี้จีนโดยอินเดียแซงหน้า หลุดแชมป์ประชากรเยอะที่สุดในโลกไปแล้ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะมีผลเศรษฐกิจในอนาคต ล่าสุดก็คือเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางการจีนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นการเกิดครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัวโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรทั่วประเทศ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีในปีนี้ บ้านไหนมีเด็กใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา จะได้เงินช่วยเหลือครอบครัวปีละ 3,600 หยวน (หรือประมาณ 16,000 บาท) ต่อเด็กหนึ่งคน และแจกยาวต่อเนื่องยาวไปถึงเด็กอายุ 3 ขวบ เรียกได้ว่าเป็นโปรโมชั่นจูงใจที่ทางการจีนตั้งใจงัดออกมาใช้ เพื่อให้รางวัลและกระตุ้นให้คนอยากมีลูกกันมากขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นโยบายแจกเงินให้คนมีลูกครั้งนี้ คาดว่าจะมีครอบครัวที่ได้รับเงิน ครอบคลุมกว่า 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ โดยเงินอุดหนุนที่รับแจกจากรัฐบาลก้อนนี้ คนที่ได้รับไปไม่ต้องกังวลเรื่องภาษี เพราะทางการนั้นจะยกเว้นให้ ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และจะไม่ถูกนับรวมเป็นรายได้ด้วย
สาเหตุสำคัญของการแจกเงินครั้งนี้มาจากพยายามแก้ไขปัญหาอัตราการเกิดที่หดตัวลดลงต่อเนื่องถึง 7 ปีซ้อน แม้จะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างเล็กน้อยในปีที่แล้วก็ตาม(2567) สวนทางกับจำนวนประชากรสูงวัยที่กำลังจะล้นประเทศ เนื่องจากจีนมีประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปพุ่งสูงถึง 310 ล้านคน เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ดังนั้นมาตรการแจกเงินในครั้งนี้จึงเป็นความหวังครั้งสำคัญ นอกเหนือจากการยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวตั้งแต่ปี 2559 และยังมีส่งเสริมให้คนจีนมีลูกถึงสามคนในปี 2564
อย่างไรก็ตามก่อนจะมาถึงนโยบายครั้งใหญ่ของรัฐบาลกลาง ก่อนหน้านี้ รัฐบาลท้องถิ่นในจีนหลายแห่งก็ได้ริเริ่มโครงการนำร่องแจกเงินมาบ้างแล้วเช่นกัน แถมยังเห็นผลลัพธ์ในเชิงบวกในทันตา เช่น เมืองพานจือฮัว ในมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นเมืองแรกในประเทศที่ให้เงินอุดหนุน พบว่ามีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4 ปี และยังมีเมืองเทียนเหมิน ในมณฑลหูเป่ย พบว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2567 เพิ่มขึ้นถึง 17% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นมามากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นักเศรษฐศาสตร์หนุนทางการจีน"แจกเงิน"กระตุ้นการเกิด ก่อนวิกฤตประชากรจะกระทบเศรษฐกิจ
นักเศรษฐศาสตร์ในจีนหลายคนออกมาแสดงความเชิงบวกต่อนโยบายของทางการจีนที่ใช้เงินในการส่งเสริมอัตราการเกิด เพราะแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลกำลังตระหนักว่า อัตราการเกิดที่ต่ำจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ นโยบายนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในแง่ของการแจกจ่ายเงินโดยตรงให้กับครัวเรือน
ประชากรจีนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องได้กลายเป็นวิกฤตที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว ไร้คนรุ่นใหม่ ไร้วัยแรงงาน กระทบต่อภาคการผลิต การพัฒนาประเทศ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับสองของโลก ขณะที่ตัวเลขผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจะยังกลายเป็นภาระเป็นแรงกดดันต่อระบบบำนาญของประเทศที่หมายความว่ามีรายจ่ายมากกว่ารายรับ เพราะภาษีจากคนทำงานก็หายไป เป็นเรื่องที่ยิ่งต้องแบกหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นการแจกเงินในครั้งนี้จึงเป็นยาแรงที่ทางการจีนหวังเห็นผล และข้อมูลจากการรายงานข่าวก็น่าสนใจ เพราะมีสามีภรรยาหลายคู่ในกรุงปักกิ่งบอกว่า มาตรการนี้น่าจะเป็นแรงจูงใจให้พวกเขามีลูกคนที่ 2 แต่ก็มีอีกหลายคู่ที่บอกว่าแรงจูงใจที่ว่านี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
สอดคล้องกับข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรหยูว่า (YuWa Population Research Institute) ในกรุงปักกิ่งเผยว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูบุตรในจีนจนถึงอายุ 18 ปี อยู่ที่ 538,000 หยวน ประมาณ 2 ล้าน 4 แสนบาท ขณะที่เด็กที่เติบโตในเมืองใหญ่ของจีน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 667,000 หยวน หรือกว่า 3 ล้านบาท
"จาง เปิ่นป๋อ" นักวิจัยจากสถาบันคลังสมองภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ระบุว่า เงินอุดหนุนในรูปแบบตัวเงินเป็นมาตรการที่ขาดไม่ได้ในการส่งเสริมการมีบุตรเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่า สอดคล้องกับความเห็นของ"ศาสตราจารย์ซ่ง เจี้ยน"จากมหาวิทยาลัยเหรินหมิน ที่ชี้ว่าประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ต่างใช้มาตรการลักษณะเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำ
ความเห็นจากคุณแม่ชาวจีนท่านหนึ่ง "หม่า อิง" ซึ่งเป็นคุณแม่ในเมืองกู่หยวน เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ย กล่าวว่า ถึงเงินอุดหนุนจะไม่ได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ก็ช่วยเรื่องของจำเป็นอย่างนมผงกับผ้าอ้อมได้มาก ทำให้ภาระทางการเงินเบาลง
แต่ทั้งนี้การแจกเงินอาจจะช่วยกระตุ้นในระยะสั้น แต่ในการกระตุ้นระยะยาวต้องวางแผนให้รอบด้าน "ศาสตราจารย์เหมา จัวเยี่ยน" จากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจแห่งปักกิ่ง (CUEB) ให้ความเห็นว่า มาตรการนี้ไม่ใช่ยาวิเศษ และยังจำเป็นที่จะต้องบูรณาการเข้ากับนโยบายอื่นๆอีกมากมาย เช่น สิทธิ์การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร บริการรับเลี้ยงเด็ก การศึกษา และที่อยู่อาศัย เพื่อกระตุ้นการมีลูกการเพิ่มประชากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้
และที่ผ่านมารัฐบาลจีนยังได้เดินหน้ามาตรการส่งเสริมด้านอื่นๆ ควบคู่กันไปแล้วเช่นกัน เช่น ล่าสุดได้มีคำสั่งให้รัฐบาลท้องถิ่นเร่งเดินหน้าจัดทำแผนการศึกษาระดับปฐมวัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และยังขยายการบริการสถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อลดภาระของพ่อแม่ผู้ปกครอง และช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
อัตรการเกิดในจีนเริ่มกระเตื้องขึ้นปีก่อน "คนรุ่นใหม่" คือ ตัวแปรสำคัญ ต้องผลักดันให้แต่งงาน มีลูก
ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่าประชากรโดยรวมของจีนปีที่ผ่านมา ลดลงไปมากกว่า 1 ล้าน 3 แสนคน เหลืออยู่เพียง 1,408 ล้านคน และมีเด็กเกิดใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่ที่ประมาณ 9 ล้าน 5 แสนคน ซึ่งปีที่ผ่านมาถือเป็นทิศทางที่ดี เพราะมีเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนถึง 520,000 คน ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากความเชื่อของคนจีนด้วยว่าปีมะโรงเป็นปีมงคลสำหรับการมีบุตร
แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตหลังจากนี้ยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย แบบจำลองประชากรของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ประเทศจีนอาจมีจำนวนประชากรลดลงไปอีกเหลืออยู่ที่ระดับ 1,300 ล้านคน ภายในปี 2593 หรือ 25 ปีหลังจากนี้ และในอีก 75 ปีข้างหน้า ในปี 2643 จีนจะเหลือประชากรเพียง 800 ล้านคน และสาเหตุสำคัญหรือปัญหาจากต้นทางส่วนหนึ่งมาจากอัตราการแต่งงานของคนรุ่นใหม่ที่ลดลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี ไปอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยตัวเลขคนแต่งงานที่ 6 ล้าน 1 แสนคู่ ซึ่งลดลงจากปีก่อน ถึง 20.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สวนทางกับยอดการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่คู่รักหนุ่มสาวหลายคู่ต่อให้แต่งงานแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะมีลูกสักเท่าไหร่นัก เพราะปัจจัยเรื่องเงิน และความกังวลเรื่องอาชีพการงาน
ขณะที่ก่อนหน้านี้ในสุนทรพจน์เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีนได้ออกเรียกร้องให้มีการชี้นำเยาวชนให้มากขึ้นในการสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน การมีลูกและครอบครัว และถึงขั้นว่ามีรายงานว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้เพิ่มหลักสูตร “วิชาความรัก” เข้าไปในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างมุมมองเชิงบวกต่อเรื่องดังกล่าวด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พายุ "โพดุล" จ่อถล่ม "ไต้หวัน" ก่อนมุ่งขึ้นฝั่ง "จีน" ต่อ
- จีนเปิดตัวบริการ “รถมินิบัสขับอัตโนมัติ” ทดสอบเส้นทางแรกในเมืองเฉิงตู
- พาณิชย์สหรัฐฯ คาด "ภาษีทรัมป์" โกยเงินเข้าประเทศพุ่ง 5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน
- "คลัง" จัด 3 มาตรการ เยียวยาผู้รับผลกระทบเหตุชายแดน "ไทย-กัมพูชา" พักหนี้-ภาษี-สินเชื่อ
- เคาะระฆัง เริ่มต้น ภาษีการค้า 19% ไทยปีนกำแพงนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ตั้งรับเสรีสินค้าอเมริกัน