ซัดหน้าไม่อาย!สร้างเฟกนิวส์
“กองทัพไทย-กองทัพบก-กองทัพอากาศ” ตบเท้าซัด “โฆษกกลาโหมกัมพูชา”สร้างเฟกนิวส์ ใส่ร้ายไทยใช้ “อาวุธเคมี”โจมตีกัมพูชา ย้ำยึดพันธกรณีตามอนุสัญญา CWC-หลักมนุษยธรรมสากล “วิทัย” จวกบิดเบือนข้อมูลอย่าง“หน้าไม่อาย” พร้อมประณาม “เขมร” โจมตีต่อเป้าหมายพลเรือน เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ขาดมนุษยธรรม ส่วน “กองทัพภาค 2”วอน“สื่อ–Influencer” งดเผยแพร่ข้อมูลพื้นที่ชายแดน “ความปลอดภัย สำคัญกว่าไวรัล” ขณะที่ “มทภ.2” ลั่น “ผมยังอยู่”หลังเขมรปล่อยเฟกนิวส์ทหารถือรูปภาพ พร้อมข้อความ RIP หวังทำลายขวัญกำลังใจ ลั่นจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ลูกน้อง ดูแลความปลอดภัยประชาชน-ประเทศ ด้าน “รบ.”แนะเลี่ยง 120 กม.จาก “ชายแดนไทย-กัมพูชา” หลัง “สุรินทร์” ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม แนะชาร์จแบตมือถือให้เต็ม อย่าปิดเครื่อง รับข้อมูลจาก Cell Broadcast
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 28 ก.ค.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่า นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้ลงนามในประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณชายแดนอำเภอบัวเชด อำเภอสังขะ อำเภอกาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก และอาจส่งผลกระทบต่อสถานที่สำคัญ อาทิ สถานบริการสาธารณสุข สถานีบริการน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งพื้นที่ชุมชน
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า การประกาศดังกล่าวเป็นการกำหนดให้เหตุการณ์ปะทะเป็นสาธารณภัย ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนที่จำเป็นต้องอพยพหรือได้รับผลกระทบได้อย่างทันที กรณีงบประมาณไม่เพียงพอ ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถอนุมัติให้ใช้เงินสะสมได้ตามความจำเป็น โดยคำนึงถึงฐานะการเงินการคลังขององค์กร
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ คอยรับแจ้งเตือนจากจังหวัดและขอให้ปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้ คือไม่ควรอยู่ในพื้นที่รวมกลุ่มคนจำนวนมาก หลีกเลี่ยงพื้นที่ในรัศมี 120 กิโลเมตรจากชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจุดที่ควรหลีกเลี่ยงชั่วคราว ได้แก่ ฐานที่ตั้งหน่วยทหาร โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และชุมชนหนาแน่น หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ขอให้ใช้เวลาสั้นที่สุดและรีบเดินทางกลับที่พัก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในอำเภอใกล้ชายแดน
นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือให้เต็มและอย่าปิดเครื่อง เนื่องจาก Cell Broadcast Service สแตนด์บาย 24 ชั่วโมง หากมีเหตุเกิดพื้นที่ไหน โทรศัพท์มือถือทุกคนจะมีเสียงและตัวหนังสือแจ้งเตือนทันที ส่วนการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เนื่องจากสถานการณ์ตลอดแนวเขตชายแดนจังหวัดสุรินทร์ มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นขอให้พิจารณาถึงความปลอดภัยของตนเองด้วย
“อีกเรื่องที่ประชาชนสามารถช่วยทหารได้ นอกจากการไม่แชร์ข้อมูลสำคัญต่างๆ แล้ว สิ่งนั้นก็คือเมื่อพบเห็นโพสต์หรือคอมเมนต์ของผู้ไม่หวังดีที่มีการกลั่นแกล้ง ก่อกวน และโจมตีสื่อทางการไทย ให้ช่วยกันกดรีพอร์ต (Report) ทันที”
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ในช่วงเช้าวันนี้ (28 ก.ค.) ยังคงมีการปะทะในหลายพื้นที่ ได้แก่บริเวณช่องจอม จ.สุรินทร์ พื้นที่เขาพระวิหาร และปราสาทโดนตวล จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ช่องอานม้า และช่องบก จ.อุบลราชธานี ในภาพรวมการสู้รบ ยังคงมีการโจมตีเข้ามาด้วยอาวุธยิงสนับสนุน และอาวุธหนักหลายชนิด ซึ่งฝ่ายไทยได้ยิงโต้ตอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อขัดขวางและทำลายอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา รวมถึงลิดรอนกำลังรบของฝ่ายกัมพูชาให้หมดขีดความสามารถในการรุกล้ำเข้าสู่ภูมิประเทศสำคัญ ที่ฝ่ายเราได้ยึดครองไว้แล้ว โดยปฏิบัติการรบร่วมกับกองทัพอากาศอย่างใกล้ชิด
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเช้า (28 ก.ค.68) ยังคงมีการปะทะในหลายพื้นที่ ได้แก่ บริเวณช่องจอม จ.สุรินทร์ พื้นที่เขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ปราสาทโดนตวล จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ช่องบก จ.อุบลราชธานี โดยในภาพรวมการสู้รบยังคงมีการโจมตีเข้ามาด้วยอาวุธยิงสนับสนุน และอาวุธหนักหลายชนิด ซึ่งฝ่ายไทยได้ยิงโต้ตอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อขัดขวางและทำลายอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา รวมถึงลิดรอนกำลังรบของฝ่ายกัมพูชาให้หมดขีดความสามารถในการรุกล้ำเข้าสู่ภูมิประเทศสำคัญที่ฝ่ายเราได้ยึดครองไว้แล้ว โดยปฏิบัติการรบร่วมกับกองทัพอากาศอย่างใกล้ชิด
พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองทัพไทย ชี้แจงและตอบโต้แถลงการณ์ของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชา ที่ได้กล่าวหาประเทศไทยว่าละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาและเริ่มการโจมตีอย่างไร้ซึ่งข้อเท็จจริงและความรับผิดชอบ
กองทัพไทยไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จและปราศจากมูลความจริงนี้ การกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเพียงความพยายามที่น่าสิ้นหวังของฝ่ายกัมพูชา เพื่อบิดเบือนความสนใจจากความจริงที่ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นการยั่วยุและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง กองทัพไทยมีความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด แต่เมื่อต้องเผชิญกับการรุกราน เรามีความชอบธรรมในการปกป้องตนเองและอธิปไตยของชาติ
ประเทศไทยขอประณามการบิดเบือนข้อมูลอย่างหน้าไม่อาย ของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา ซึ่งเป็นการกระทำที่มุ่งสร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นความขัดแย้ง พฤติการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไม่จริงใจในการหาทางออกอย่างสันติ
ข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 02.00 น. กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากยิงปืนใหญ่บริเวณพื้นที่ ช่องจอม ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ต่อมา เวลา 04.30 น. และมีการระดมยิงอย่างหนัก ไปยังฐานที่มั่นของทหารไทยบริเวณ ปราสาทตาควาย และ ปราสาทตาเมือนธม จนกระทั่ง ในเวลา 06.40 น. มีกระสุนปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชา ตกใส่บ้านประชาชนใน อ.ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ได้รับความเสียหาย ก่อนที่กองกำลังกัมพูชาจะพยายามรุกคืบเข้ามาในเขตแดนไทยอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ล่าสุด เวลา 17.00 น. กัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 เข้ามายังฝั่งไทย ตกในบ้านเรือนประชาชน ที่ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากพื้นที่ชายแดน 20 กิโลเมตร ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน ซึ่งการโจมตีดังกล่าว เป็นการโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือน ถือเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ขาดมนุษยธรรม
การตอบโต้ของกองทัพไทยเป็นการกระทำที่จำเป็นและสมเหตุสมผลเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย การกระทำของเราสอดคล้องกับมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งรับรองสิทธิในการป้องกันตนเองของทุกประเทศ เราไม่ได้มีเจตนาที่จะยกระดับความขัดแย้ง แต่เราจะไม่ยอมให้มีการรุกล้ำอธิปไตยและกระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ประเทศไทยยืนยันในเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเคารพในอธิปไตยของทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม เราขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูล การยั่วยุ และการกระทำที่ผิดกฎหมายที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยทันที
กองทัพไทยเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศรับทราบถึงข้อเท็จจริง และร่วมกันเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและยุติการรุกรานที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคโดยเร็วที่สุด
ด้าน เพจเฟซบุ๊ก กองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters โพสต์ข้อความระบุว่า กองทัพไทยขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อคำกล่าวอ้างของ พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่ระบุว่ากองทัพไทยได้รุกล้ำดินแดนกัมพูชาและใช้อาวุธเคมีในการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง และเป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างร้ายแรง
ประเทศไทยไม่เคยมีนโยบายในการพัฒนา ผลิต ครอบครอง หรือใช้อาวุธเคมีในทุกกรณี โดยยึดมั่นในพันธกรณีตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention - CWC) อย่างเคร่งครัด ทั้งยังปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักมนุษยธรรมสากล โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ในทางกลับกัน โฆษกกลาโหมกัมพูชา กลับใช้ “ข้อมูลข่าวสารปลอม” (Disinformation) เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองในสายตาประชาคมโลก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เพียงแต่ขาดความรับผิดชอบ แต่ยังถือเป็นการกระทำที่แฝงด้วยเล่ห์เพทุบาย บิดเบือนความจริง และเป็นภัยต่อสันติภาพในภูมิภาค
กองทัพไทยมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติและความปลอดภัยของประชาชน ตามหลักการสากลและสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ การดำเนินการของฝ่ายไทยจึงเป็นการตอบสนองที่จำเป็นและยับยั้งภัยคุกคามจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้เปิดฉากการยั่วยุและการใช้กำลังก่อน
ประเทศไทยจะไม่ยอมให้ความเท็จของฝ่ายใดมากลบเสียงของความจริง และจะดำเนินการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมที่บิดเบือน เสื่อมเสีย และละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชา ซึ่งอาจเข้าข่าย “อาชญากรรมสงคราม” อย่างชัดเจน
ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกตระหนักถึงพฤติกรรมดังกล่าว และร่วมกันประณามการใช้ข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในเวทีสากล
ส่วน เพจเฟซบุ๊ก กองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force โพสต์ภาพและข้อความโต้แย้ง กรณีที่ พลโทหญิง มาลีฯ โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวหาไทยว่าใช้อาวุธเคมีโจมตีพื้นที่กัมพูชา นั้น "เป็นข้อกล่าวหาเท็จ" ที่ "ไม่มีมูลมาจากความจริงแต่อย่างใด" ซึ่งเป็นเพียง "Fake News" ที่ปรากฏในสื่อสังคมของทางกัมพูชาเท่านั้น
ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความขอความร่วมมือ โดยระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ขอความร่วมมือพี่น้องสื่อมวลชน และ Influencer ดังนี้ 1.ไม่เข้าพื้นที่เสี่ยงภัย : พื้นที่ที่มีการปะทะ หรือยังไม่ปลอดภัยตามการยืนยันจากหน่วยงานความมั่นคง 2.ไม่เผยแพร่คอนเทนต์ : ไม่ถ่ายทอดสด (Live) และไม่เผยแพร่ข้อมูลที่อาจเปิดเผยตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ หรือส่งผลต่อการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่
ส่วน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุ ภายหลังกัมพูชามีการรายงาน และเผยแพร่ถือรูปทหารถือภาพของตนเอง พร้อม ข้อความ RIP ว่า เป็นข่าวปลอม หวังทำลายขวัญกำลังใจทหารแนวหน้า และคนไทย ยืนยันว่า ปัจจุบันนี้ ตนยังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าหน้าที่ทหารทุกคนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการปกป้องอธิปไตยของไทยต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และประชาชนมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง
พล.ท.บุญสิน ระบุต่อว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชา พยายามบิดเบือนข้อมูล โดยการปล่อยข่าวเท็จ สร้างความสับสนในหมู่ของคนไทย ดังนั้น อยากให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้