ศวข.เชียงใหม่ สืบสานพระราชดำริพัฒนา “ข้าว” อย่างยั่งยืน
ในโลกที่การเกษตรต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น หรือการสูญพันธุ์ของพืชท้องถิ่น “ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่” ยังคงยึดมั่นในแนวทางพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ไทย ในการพัฒนาข้าวอย่างยั่งยืน มุ่งสร้างองค์ความรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวให้กับเกษตรกรและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ กรมการข้าว ได้ขับเคลื่อน “โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” โดยเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2549 ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นการศึกษา ทดลอง และวิจัยด้านข้าว รวมถึงการอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวอย่างต่อเนื่อง
จินตนา ไชยวงค์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ เล่าว่า ปัจจุบันศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ได้ขับเคลื่อนโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ทั้งหมด 7 โครงการ
1.การศึกษาการปลูกข้าวบริเวณริมอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ราบของศูนย์ศึกษาฯ ซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวโดยเฉพาะนาชลประทาน เนื่องจากมีแหล่งน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอตลอดทั้งปี โครงการนี้มุ่งศึกษาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเปรียบเทียบช่วงเวลาปลูกและผลผลิต เพื่อหาวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
2.การสาธิตระบบนาข้าวแบบ “เปียกสลับแห้ง” ซึ่งช่วยประหยัดน้ำในเขตชลประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิต โครงการนี้เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้เกษตรกรและนักเรียน นักศึกษาเข้าศึกษาดูงาน เพื่อส่งต่อองค์ความรู้ไปยังชุมชนในวงกว้าง
3.การสาธิตการทำนาด้วยตอซังตามแนวคิดจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งใช้วิธีปล่อยให้หน่อข้าวแตกขึ้นจากตอซังเดิมโดยไม่ต้องไถกลบ สามารถเก็บเกี่ยวได้ถึงสามครั้งจากการปลูกครั้งเดียว ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดระยะเวลาในการปลูก และลดการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดการเผาตอซังที่ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันในภาคเหนือ
4.การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ (อพ.สธ.) โดยทำหน้าที่รวบรวมและเก็บรักษาพันธุกรรมข้าว ทั้งพันธุ์ปัจจุบัน เช่น สันป่าตอง 1 และพันธุ์พื้นเมืองอีกกว่า 100 สายพันธุ์ รวมถึงพันธุ์หายากอย่าง “เหมยนอง 62M” ซึ่งมีความทนทานต่อแมลงบั่ว แม้ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมปลูก แต่ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรที่สนใจนำกลับไปปลูกใหม่
5.การจัดทำแปลงสาธิตการปลูกข้าวในบ่อซีเมนต์ ซึ่งเหมาะสำหรับพื้นที่เมืองหรือพื้นที่จำกัด โครงการนี้ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ผู้สนใจนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของตนเอง เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือน
6.การผลิตและเก็บสำรองเมล็ดพันธุ์ข้าวสันป่าตอง 1 จำนวน 1,000 กิโลกรัม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก 500 กิโลกรัม สำหรับส่งมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เพื่อเป็นการสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉิน ส่วนที่สองอีก 500 กิโลกรัม สำหรับแจกจ่ายให้เกษตรกรที่ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ในช่วงวิกฤต สามารถเข้าไปขอรับการอนุเคราะห์ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ได้
7.การผลิตเมล็ดพันธุ์ดีสู่ชุมชน โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ จะลงพื้นที่อบรมและถ่ายทอดความรู้ด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพและการเก็บรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนทางการเกษตร ปัจจุบันได้จัดอบรมไปแล้ว 16 รุ่น มีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 ราย
นอกจากนี้ จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่สามารถปรับตัวและทนทานต่อสภาพแวดล้อมดังกล่าว โดยเริ่มจากการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้สามารถทนน้ำท่วม และพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำหลาก
หนึ่งในพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพคือ กข 43 ซึ่งเดิมมีการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่รับน้ำของจังหวัดสุพรรณบุรี กข 43 เป็นพันธุ์ข้าวอายุสั้น สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ทันเวลาก่อนที่น้ำจะหลากเข้าท่วมพื้นที่ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเพาะปลูกในฤดูที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูง และยังมีพันธุ์ข้าวน้ำลึกจากศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีความสามารถในการเจริญเติบโตได้แม้ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมขังหรือภาวะน้ำหลาก พันธุ์ข้าวชนิดนี้สามารถ "ดีดตัว" ยืดต้นสูงขึ้นตามระดับน้ำ ช่วยให้สามารถให้ผลผลิตได้แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
“ผลสำเร็จการดำเนินงานของศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ปัจจัยสำคัญ คือ การน้อมนำแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 มาสานต่อและต่อยอดสู่ประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอย่างมั่นคง ไม่พึ่งพิงจากภายนอก ทั้งยังส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของแนวทางนี้ ผ่านกิจกรรมอบรมและสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่กล่าวทิ้งท้าย