แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่แบรนด์เนมมือสองโตแรง! สหกรุ๊ปเปิดช็อป ‘RAGTAG’ สาขาแรกในไทย เจาะคนรักของหรูราคาคุ้ม
แม้เศรษฐกิจโลกและไทยยังเปราะบาง แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองกลับโตแรง จากแรงหนุนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาเลือกซื้อ ‘สินค้าหรูมือสอง’ ที่ราคาคุ้มกว่าแถมยังได้ภาพลักษณ์หรูหราและไม่ตกเทรนด์อีกด้วย จนทำให้มูลค่าตลาดแบรนด์เนมมือสองในประเทศไทย ปี 2024 ที่ผ่านมาสูงถึง 40,000 ล้านบาทและมีแนวโน้มเติบโตปีละ 10–12% ต่อเนื่อง
จากโอกาสการเติบโตดังกล่าว เครือสหกรุ๊ป นำโดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จึงได้ร่วมทุนกับ เวิลด์กรุ๊ป จากญี่ปุ่น นำแบรนด์ RAGTAG ซึ่งเชี่ยวชาญในสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรีมือสอง เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัทใหม่ เวิลด์ สห (ประเทศไทย) พร้อมเปิดสาขาแรกที่ One Bangkok
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะก่อนหน้านี้ เครือสหกรุ๊ป ได้เคยร่วมทุนกับกลุ่ม KOMEHYO ศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนมมือสอง Luxury มาแล้ว จนปัจจุบันมีสาขาในไทยถึง 5 สาขาแล้ว สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพตลาดนี้ที่ยังโตได้อีกมาก
ผู้บริหารสหกรุ๊ป กล่าวว่า เครือสหกรุ๊ป ได้ทำงานร่วมกับแบรนด์ RAGTAG มากว่า 8 ปี แล้ว พบว่ามีความน่าสนใจ เพราะเป็นร้านแบรนด์เนมมือสองสไตล์แฟชั่นเหมาะกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ จึงมีการเจรจาร่วมทุนกันและจัดตั้งบริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
พร้อมย้ำแม้จะมี 2 แบรนด์ในมือ แต่ทั้งสองแบรนด์มีจุดยืนต่างกันอย่างชัดเจน โดย KOMEHYO โฟกัสที่สินค้าแบรนด์เนมลักชัวรี เช่น กระเป๋า นาฬิกา ส่วน RAGTAG เน้นสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม เช่น สินค้าดีไซเนอร์ระดับโลก ทั้งสองแบรนด์จึงสามารถเดินหน้าเติบโตคู่กันได้ โดยไม่แย่งฐานลูกค้ากัน
ด้าน ฮายาโตะ โมเทกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร RAGTAG ฉายภาพว่า กระแสสินค้าแบรนด์เนมมือสองกำลังขยายตัวทั่วโลก เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) ต้องการช่วยลดของเสียจากอุตสาหกรรมแฟชั่น และมองไปถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่าย ที่สำคัญคนรุ่นใหม่มองว่าสินค้าที่ดี ไม่จำเป็นต้องใหม่เท่านั้น
จริงๆแล้ว จุดกำเนิดของเทรนด์นี้เกิดขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมมุ่งให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด ทำให้ร้านแบรนด์เนมมือสองในญี่ปุ่นได้รับการตอบรับมากขึ้น ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวในหลายประเทศ ส่งผลให้วัยรุ่นหันมาเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากจะใช้งานได้เองแล้วยังสามารถซื้อมาใช้แล้วขายต่อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ได้อีกด้วย
เช่นเดียวกับประเทศไทย หลังจากบริษัทได้เข้ามาศึกษาตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2015 ได้เห็นการเติบโตของตลาดนี้อย่างชัดเจน และพบว่าวัยรุ่นไทยให้ความสนใจกับแบรนด์เนมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากสไตล์การแต่งตัวและของใช้ส่วนตัว จึงเป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอสินค้ามือสองคุณภาพสูงให้ลูกค้าไทย
สำหรับจุดแข็งของแบรนด์ RAGTAG มีสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าลักชัวรีมือสองกว่า 5,000 แบรนด์ คัดสรรมาจากดีไซเนอร์ระดับโลก ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นจะถูกคัดสรรและตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทางจากญี่ปุ่น ก่อนนำออกจำหน่าย
รวมถึงจุดแข็งด้านความเป็นแฟชั่น ตั้งแต่การคัดเลือกสินค้า การนำเสนอในร้าน การบริการไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้า ทำให้แบรนด์สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดสินค้าแฟชั่นมือสองในญี่ปุ่นมานานหลายปี
โดยหลังทดลองเปิด POP-UP STORE ในไทยและได้เสียงตอบรับดี RAGTAG จึงเปิดช็อป RAGTAG สาขาแรกที่ One Bangkok ประเดิมด้วยไลน์สินค้าจำนวน 1,800 รายการ ราคาเริ่มตั้งแต่ 600-500,000 บาท เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าอายุตั้งแต่ 20-50 ปี ทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ส่วนสาเหตุที่เลือกพื้นที่นี้ เพราะมองว่าเป็นศูนย์รวมสินค้าระดับพรีเมียม และมีผู้บริโภคกำลังซื้อสูง ต่อจากนี้ตั้งเป้าเปิดให้ครบ 10 สาขาในไทยภายใน 5–10 ปี พร้อมปูทางสู่การขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียนต่อไป
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่เรามองว่านี่คือโอกาสสำคัญในการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในตลาดแบรนด์เนมมือสอง เพราะแม้คนจะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ความต้องการสินค้าแบรนด์ยังคงอยู่ เพียงแค่ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า ซึ่งแบรนด์เนมมือสองสามารถตอบโจทย์นี้ได้ ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายถ้าเทียบกับสินค้าใหม่