CRC หุ้นลง -50% ภายใน 6 เดือน จน P/E เหลือ 12 เท่า ถูกพอหรือยัง ?
CRC หุ้นลง -50% ภายใน 6 เดือน จน P/E เหลือ 12 เท่า ถูกพอหรือยัง ?
.
ไม่อยากจะเชื่อว่าหุ้นค้าปลีกเบอร์ใหญ่ของไทยที่มีพื้นฐานดี ธุรกิจแข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั่วประเทศ
จะเห็นราคาหุ้นร่วงเกือบ -50% ภายใน 6 เดือน
ส่วนหนึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของตลาดหุ้นไทยทำให้หุ้นดีๆหลายตัวราคาปรับตัวลงมามาก
และอีกส่วนหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ เรื่องของความหวัง
เพราะแต่เดิม การเข้ามาของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ถูกวางให้เป็นหุ้นพื้นฐานดีและเติบโตต่อไปได้จากการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม
แต่ผลประกอบการที่ผ่านมาถึงแม้จะเห็นการเติบโต แต่ยังไม่ได้เป็นไปอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง
.
คำถามคือ ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากว่า -50% จนมี P/E เหลืออยู่ที่ 12 เท่า และเงินปันผลอยู่ราวๆ 3.45%
จะทำให้หุ้น CRC น่าสนใจหรือเป็นจุด Turning Point ของราคาหุ้นได้หรือยัง
วันนี้ Stock2morrow จะมาเล่าให้ฟัง
.
เมื่อไม่นานมานี้ CRC ได้จัดแถลงเปิดตัว CEO คนใหม่ และแผนการดำเนินงานในอีก 3 ปีข้างหน้า
มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น
1. การบริหารจัดการเงินลงทุนอย่างระมัดระวัง
CRC จะใช้จ่ายเงินลงทุนเพื่อการรีโนเวทและขยายสาขาอย่างรอบคอบ โดยตั้งงบประมาณ CAPEX สำหรับ 3 ปีข้างหน้า (2025-2027) ไว้ที่ประมาณ 4.5-4.7 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งลดลงจากช่วงปี 2022-2024 ที่มีงบประมาณสูงถึง 2.0-2.6 หมื่นล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ
และ CRC คาดหวังเป้าหมายรายได้และ EBITDA เติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ในช่วงปี 2025-2027
2. การควบคุมค่าใช้จ่ายในธุรกิจ
บริษัทจะเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะในส่วนของพนักงานและค่าใช้จ่ายด้าน IT โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ CEO ท่านใหม่ในการบริหารจัดการส่วนนี้
3. การเพิ่ม Synergies
CRC จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพจากการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยธุรกิจภายใน CRC เอง และกับเครือ Central Group เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากการดำเนินงานร่วมกัน
.
ในปีนี้ CRC มองว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว
แต่เป้าหมายของ CRC จะเน้นขยายธุรกิจ Food และร้านไทวัสดุ
ส่งผลให้คาดการณ์รายได้รวมจะเติบโต 4-6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY)
ยิ่งไปกว่านั้น CRC จะเน้นไปที่การบริหารต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน พูดง่ายๆ คือ CRC น่าจะเน้นไปที่การควบคุมค่าใช้จ่าย มากกว่าที่จะเน้นไปกับการขยายกิจการในช่วงที่เศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน
ทั้งนี้ ผู้บริหารก็ยังเน้นย้ำด้วยว่ากำลังศึกษาแนวทางที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับนักลงทุน
อาจจะเป็นเรื่องของเพิ่มการจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืน ตรงนี้ก็ต้องติดตามดูต่อไป
.
ผู้บริหาร กล่าวว่า เป้าหมายหนึ่งที่ซีอาร์ซีสนใจคือ การขยายธุรกิจที่เป็นเมนสตรีม (Main Stream ) หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเป็นจำนวนมากที่ต้องบริโภคอุปโภค ไม่ว่าจะเป็น ร้านออโต้วันศูนย์ดูแลรถ หรือร้านไทวัสดุ ที่คนต้องมีการซ่อมแซมบ้าน เช่นเดียวกับท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต กับโกโฮลเซลล์ เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่และเป็นพื้นฐานของคนที่ต้องใช้ต้องกินอยู่แล้ว
สำหรับธุรกิจในต่างประเทศ จะเน้นโฟกัสไทยกับเวียดนามเป็นหลัก ส่วนในยุโรปหรือที่อื่นๆยังคงไม่มีแผนที่จะซื้อห้างใหม่หรือขยายการลงทุนออกไปในประเทศอื่น
โดยในเวียดนามนั้น เป็นตลาดที่ใหญ่ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 100 ล้านคน และมีการเติบโตที่มากเช่นกัน เศรษฐกิจกระจายทั้งประเทศ
.
จากที่อ่านมา พูดได้ว่าแนวทางของ CRC ค่อนข้างชัดเจน
โดยเน้นไปที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในชีวิตประจำวัน และการลงทุนในเวียดนาม
และส่วนที่สำคัญที่สุด คือ "ระบบหลังบ้าน"
โดย CRC พยายามควบคุมต้นทุนให้ดีที่สุด และการลด SG&A ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
พร้อมๆไปกับการเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเรื่องของปันผลหรือการซื้อหุ้นคืน
.
อย่างไรก็ตามถึงแม้แผนงานของ CRC จะมีความชัดเจน
แต่เราต้องไม่ลืมว่า บริษัทถูกตั้งเป้าหมายเป็นหุ้นเติบโต การเติบโตที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังอาจจะส่งผลให้นักลงทุนมองว่าไม่สามารถให้พรีเมี่ยมมากๆกับ CRC เหมือนในอดีต
สอดคล้องกับบทวิเคราะห์หลายแห่งที่มองว่า ผลประกอบการของ CRC อาจจะไม่ได้สวยงามเท่าไรนัก และเราอาจจะเห็นการลดลงของผลประกอบการทั้ง QoQ และ YoY
และถ้าเรามองยาวๆ กำไรปกติของ CRC อาจจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยด้วยซ้ำ ในมุมทั้งปี 2568 เพราะ
1. งบลงทุนที่ลดลง การขยายสาขาลดลง
2. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้้นตัว เศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ
3. CRC อาจจะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น จากการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักลงทุนจะเริ่มเห็นนักวิเคราะห์ทยอยปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้น CRC ลดลง
.
ทั้งนี้ ราคาหุ้น CRC ปรับตัวลงมากว่า -50% เข้าไปแล้ว ถือว่ารับรู้ประเด็นร้ายไปเยอะ
จนราคาหุ้นมีค่า P/E อยู่ที่ 12 เท่า และการปันผลอยู่ประมาณ 3%
โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางเพิ่มผลตอบแทนให้กับนักลงทุนมากขึ้น
ดังนั้น การซื้อที่ราคานี้ นอกจากความเสี่ยงที่ไม่สูงแล้ว เราอาจจะได้เงินปันผลที่เพิ่มมากขึ้น
.
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเชียร์ซื้อหรือขายแต่อย่างใด
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย